วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2561

ภิกษุณีสงฆ์ : ปัญหาและทางออกของสังคมไทย


บทความวิชาการลลำดับที่ ๒๐
โดย พระครูวรวิริยคุณ (ปราโมทย์ กลิ่นละมัย)

เรื่อง "ภิกษุณีสงฆ์ : ปัญหาและทางออกของสังคมไทย"
            ภิกษุณีเป็นคำใช้เรียกนักพรตหญิงในพระพุทธศาสนา คู่กับภิกษุที่หมายถึงนักพรตชายในพระพุทธศาสนา คำว่า “ภิกษุณี” เป็นศัพท์ที่มีเฉพาะในพระพุทธศาสนา โดยเป็นศัพท์บัญญัติที่ใช้เรียกนักบวชหญิงในพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะ ไม่ใช้เรียกนักบวชในศาสนาอื่น ภิกษุณีหรือภิกษุณีสงฆ์  จัดตั้งขึ้นตามพระบรมพุทธานุญาต ภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศาสนาคือพระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรี โดยวิธีรับคุรุธรรม ๘ ประการ ในคัมภีร์เถรวาทระบุว่าต่อมาในภายหลังพระพุทธเจ้าได้ทรงอนุญาตวิธีการอุปสมบทภิกษุณีให้มีรายละเอียดเพิ่มมากขึ้น จนศีลของพระภิกษุณีมีมากกว่าพระภิกษุ โดยพระภิกษุณีมีศีล ๓๑๑ ข้อ ในขณะที่พระภิกษุมีศีลเพียง ๒๒๗ ข้อเท่านั้น เนื่องจากในสมัยพุทธกาลไม่เคยมีศาสนาใดอนุญาตให้ผู้หญิงเข้ามาเป็นนักบวชมาก่อนและการตั้งภิกษุณีสงฆ์ควบคู่กับภิกษุสงฆ์อาจเกิดข้อครหาที่จะเป็นอันตรายร้ายแรงต่อการประพฤติพรหมจรรย์และพระพุทธศาสนาได้ หากได้บุคคลที่ไม่มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาเข้ามาเป็นนักบวช
            จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไม่ปรากฏว่ามีการตั้งวงศ์ภิกษุณีเถรวาทขึ้นในประเทศไทย อย่างไรก็ตามในประเทศที่มีพระพุทธเถรวาทที่เคยมีหรือไม่เคยมีวงศ์ภิกษุณีสงฆ์ ในปัจจุบันต่างก็นับถือกันโดยพฤตินัยว่าการที่อุบาสิกาที่มีศรัทธาโกนศีรษะนุ่งขาวห่มขาว ถือปฏิบัติศีล ๘ (อุโบสถศีล) ซึ่งเรียกโดยทั่วไปว่า แม่ชี เป็นการผ่อนผันผู้หญิงที่ศรัทธาจะออกบวชเป็นภิกษุณีเถรวาท แต่ไม่สามารถอุปสมบทเป็นภิกษุณีเถรวาทได้  โดยส่วนใหญ่แม่ชีเหล่านี้จะอยู่ในสำนักวัดซึ่งแยกเป็นเอกเทศจากกุฎิสงฆ์ ภิกษุณีสายเถรวาทซึ่งสืบวงศ์มาแต่สมัยพุทธกาลด้วยการบวชถูกต้องตามพระวินัยปิฎกเถรวาท ที่ต้องบวชในสงฆ์สองฝ่ายคือทั้งภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ได้ขาดสูญวงศ์ (ไม่มีผู้สืบต่อ) มานานแล้ว คงเหลือแต่ภิกษุณีฝ่ายมหายาน (อาจริยวาท) ที่ยังสืบทอดการบวชภิกษุณีแบบมหายาน (บวชในสงฆ์ฝ่ายเดียว) มาจนปัจจุบัน ซึ่งจะพบได้ในประเทศจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และศรีลังกา
            ปัจจุบันมีการพยายามรื้อฟื้นการบวชภิกษุณีในฝ่ายเถรวาท  โดยทำการบวชมาจากภิกษุณีมหายาน และกล่าวว่าภิกษุณีฝ่ายมหายานนั้นสืบวงศ์ภิกษุณีสงฆ์มาแต่ฝ่ายเถรวาทเช่นกัน แต่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าฝ่ายมหายานมีการบวชภิกษุณีสืบวงศ์มาโดยมิได้กระทำถูกตามพระวินัยปิฎกเถรวาท และมีศีลที่แตกต่างกันอย่างมากด้วย ทำให้มีการไม่ยอมรับภิกษุณี (เถรวาท) ใหม่ ที่บวชมาแต่มหายานว่า มิได้เป็นภิกษุณีที่ถูกต้องตามพระวินัยปิฎกเถรวาท และมีการยกประเด็นนี้ขึ้นเป็นข้ออ้างว่าพระพุทธศาสนาจำกัดสิทธิสตรีด้วยซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน  เพราะพระพุทธเจ้าได้อนุญาตให้มีภิกษุณีที่นับเป็นการเปิดโอกาสให้มีนักบวชหญิงเป็นศาสนาแรกในโลก เพียงแต่การสืบทอดวงศ์ภิกษุณีได้สูญไปนานแล้ว  จึงทำให้ในปัจจุบันไม่สามารถบวชสตรีเป็นภิกษุณีตามพระวินัยเถรวาทได้
              พระโคตมพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้มีภิกษุณี เนื่องจากเห็นว่าจะทำให้อายุของพระพุทธศาสนาไม่ยั่งยืน ต่อมาพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี ผู้เป็นพระน้านางและพระมาตุจฉาหรือพระมารดาเลี้ยงของเจ้าชายสิทธัตถะ มีศรัทธาอยากออกบวชจึงทูลอ้อนวอนขอบวชต่อพระพุทธเจ้าถึงสามครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล จนกระทั่งพระอานนท์ได้ทูลขอ พระพุทธเจ้าจึงทรงอนุญาต โดยมีเงื่อนไขว่า พระนางปชาบดีโคตมีจะต้องรับเอาครุธรรมแปดประการ (ข้อปฏิบัติที่หนักและทำได้ยาก) ไปปฏิบัติ  ดังนั้น ภิกษุณีที่ทรงอุปสมบทให้องค์แรกได้แก่ พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี ซึ่งบวชเป็นภิกษุณีรูปแรกด้วยการรับครุธรรมแปดประการ (รูปเดียวที่บวชด้วยวิธีนี้) ต่อมาพระพุทธองค์ได้ทรงวางหลักเกณฑ์ในการรับผู้ประสงค์จะบวชเป็นภิกษุณี และวางวินัยของภิกษุณีไว้มากมาย  เพื่อกลั่นกรองผู้ที่ประสงค์จะบวชและมีศรัทธาจริงๆ เช่น ภิกษุณีเมื่อบวชแล้วต้องถือศีลถึง ๓๑๑ ข้อ มากกว่าพระภิกษุ ซึ่งถือศีลเพียง ๒๒๗ ข้อ วินัยของภิกษุณีที่มีมากกว่าพระภิกษุ เพราะผู้หญิงมีข้อปลีกย่อยในการดำรงชีวิตมากกว่าผู้ชาย ซึ่งผู้ชายไม่จำเป็นต้องมี เป็นต้น ก่อนที่ผู้หญิงจะบวชเป็นภิกษุณีได้นั้น ต้องบวชเป็น "สิกขมานา" เสียก่อน สิกขมานาเป็นสามเณรีที่ต้องถือศีล ๖ ข้ออย่างเคร่งครัดเป็นเวลา ๒ ปี หากศีลขาดแม้แต่ข้อเดียวจะต้องเริ่มนับเวลาใหม่
การบวชเป็นสิกขมานา จะบวชได้ต้องอายุครบ ๑๘ ปี เพราะว่าคนที่จะบวชเป็นภิกษุณีได้นั้นต้องอายุครบ ๒๐ ปี แต่สำหรับหญิงที่แต่งงานแล้ว พระพุทธองค์อนุญาตให้บวชเป็นสิกขมานาได้ตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี เพราะว่าคนที่แต่งงานจะได้เรียนรู้ความยากลำบากของชีวิต รู้จักสุข ทุกข์ เมื่อรู้จักทุกข์ก็จะรู้จักสมุทัย นิโรธ มรรค ได้ จนนำไปสู่การบรรลุในที่สุด เมื่อผู้ที่ประสงค์จะบวชเป็นภิกษุณี ได้เป็นสิกขมานา ถือศีล ๖ ข้อครบ ๒ ปีแล้วจึงมีสิทธิ์ที่จะเข้าพิธีอุปสมบท โดยต้องอุปสมบทในฝ่ายของภิกษุณีสงฆ์ก่อน แล้วไปเข้าพิธีอุปสมบทในฝ่าย ภิกษุสงฆ์ อีกครั้งหนึ่งจึงจะเป็นภิกษุณีได้โดยสมบูรณ์ (บวชในสงฆ์สองฝ่าย) ก่อนที่ภิกษุณีสงฆ์จะหมดไปจากประเทศอินเดียนั้น พระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งพระธรรมทูตออกไป ๙ สาย สายที่ ๙ ส่งพระมหินทรเถระพระราชโอรสของพระองค์ไปศรีลังกา การเผยแพร่ศาสนาพุทธประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง พระนางอนุลา น้องสะใภ้ของกษัตริย์ศรีลังกา ทรงอยากผนวชจึงนิมนต์พระนางสังฆมิตตาเถรี พระธิดาของพระเจ้าอโศก มาเป็นปวัตตินีให้ ("ปวัตตินี" คือ พระอุปัชฌาย์ที่เป็นผู้หญิง)
             จากประเทศศรีลังกาภิกษุณีสงฆ์ได้ไปสืบสายไว้ในจีน ไต้หวัน และประเทศอื่นๆ จนกระทั่งพุทธศาสนาที่อินเดียและศรีลังกาเสื่อมลงลงไปในช่วงหลัง ทำให้ภิกษุณีฝ่ายเถรวาทซึ่งมีศีลและข้อปฏิบัติที่ยุ่งยากไม่สามารถรักษาวงศ์ของภิกษุณีเถรวาทไว้ได้ จึงทำให้ไม่มีผู้สืบทอดการบวชเป็นภิกษุณีสายเถรวาท  ในปัจจุบันมีความเชื่อว่ายังมีภิกษุณีสายเถรวาทเหลืออยู่และอ้างหลักฐานยืนยันว่าภิกษุณีทางสายมหายาน วัชรยานนั้นสืบสายไปจากภิกษุณีสายเถรวาท โดยถือกันว่าหากภิกษุณีสายเถรวาทสืบสายไปเป็นมหายานได้ (ภิกษุณีจากลังกาไปบวชให้คนจีน) ภิกษุณีมหายานก็สืบสายมาเป็นเถรวาทได้เช่นกัน ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้บวชเป็นภิกษุณี (เถรวาท) หลายรูป โดยบวชมาจากคณะภิกษุณีสงฆ์ในประเทศศรีลังกา เช่น ภิกษุณีธัมมนันทา มีสำนักภิกษุณีเป็นเอกเทศคือทรงธรรมกัลยาณีภิกษุณีอาราม  ในกรณีนี้เคยมีประเด็นถกเถียงอยู่ช่วงหนึ่งว่าปัจจุบันนี้สามารถบวชภิกษุณีได้หรือไม่ มีข้อสรุปจากทางพระสงฆ์ฝ่ายเถรวาทว่าพระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้มีการบวชเป็นภิกษุณีได้ก็ต่อเมื่อบวชต่อสงฆ์ทั้ง ๒ ฝ่าย คือ ต้องบวชทั้งฝ่ายพระภิกษุสงฆ์ และฝ่ายภิกษุณีสงฆ์เป็นการลงญัตติจตุตถกรรมวาจาทั้งสองฝ่าย จึงจะสามารถเป็นภิกษุณีได้  ดังนั้น ในเมื่อภิกษุณีสงฆ์เถรวาทได้เสื่อมสิ้นลงไม่มีผู้สืบต่อ  จึงทำให้ในปัจจุบันไม่สามารถทำการบวชผู้หญิงเป็นภิกษุณีฝ่ายเถรวาทได้ การที่มีข้ออ้างว่าสายมหายานสืบสายวงศ์ภิกษุณีสงฆ์ไปก็ไม่สามารถอ้างได้  เพราะการสืบสายทางมหายานมีข้อวินัยและการทำสังฆกรรมบวชภิกษุณีที่ไม่ถูกต้องกับพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาท ปัจจุบันศรีลังกาพยายามฟื้นฟูภิกษุณีสงฆ์ จนมีภิกษุณีหลายร้อยรูปที่ประเทศไทยก็มีผู้หญิงบวชเป็นภิกษุณีจำนวนหลายรูปแล้วเช่นกัน แต่คณะสงฆ์ไทยไม่ยอมรับเป็นภิกษุณีสงฆ์เพราะสาเหตุดังกล่าวมาแล้วข้างต้น[๑]

ประวัติความเป็นมาของภิกษุณี 
            ๑. พระนางมหาปชาบดีโคตมี ทูลขอบรรพชาไม่สำเร็จ สมัยเมื่อพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในนิโครธารามใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ พระนางมหาปชาบดีโคตมีเข้าไปเฝ้า ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วประทับยืน ณ ส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลขอบรรพชาเป็นอนาคาริยะ (ไม่ครองเรือน) ในพระธรรมวินัย  ซึ่งพระตถาคตเจ้าประกาศแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสห้ามไว้ว่า อย่าเลยท่านเป็นมาตุคาม  อย่าพอใจบรรพชาเป็นอนาคาริยะในพระธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลย แม้ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม พระนางมหาปชาบดีโคตมี กราบทูลขอบรรพชา พระผู้มีพระภาคก็ตรัสห้ามอย่างนั้น
            เมื่อพระนางมหาปชาบดีโคตมี เห็นว่าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาตอนาคาริยบรรพชาในพระธรรมวินัย ซึ่งพระตถาคตเจ้าประกาศแล้วแก่มาตุคาม ก็ระทมทุกข์เสียพระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ทรงกันแสง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณ (คือดำเนินเวียนขวา) แล้วเสด็จหลีกไป  ต่อมาเมื่อพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในกรุงกบิลพัสดุ์ตามพระพุทธอัธยาศัยแล้วก็เสด็จจาริกไปโดยลำดับ ทางกรุงเวสาลี ทรงแวะ ณ กรุงเวสาลีนั้น ประทับ ณ กูฏาคารศาลา (ศาลาเรือนยอด) ป่ามหาวัน
            ๒. ความพยายามอีกครั้งหนึ่งของพระนาง ลำดับนั้นพระนางมหาปชาบดีโคตมี ทรงปลงพระเกศา นุ่งห่มกาสาวพัสตร์ เสด็จพร้อมด้วยเจ้าหญิงศากยะเป็นอันมาก เดินทางไปยังกรุงเวสาลีโดยลำดับ เสด็จเข้าไปยังกูฏคารศาลาป่ามหาวัน ครั้งนั้นพระนางมหาปชาบดีโคตมี มีพระบาทเปล่า (ไม่สวมรองเท้า) มีพระกายอันมัวมอมด้วยฝุ่นละออง ระทมทุกข์ เสียพระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ทรงกันแสง ประทับยืน ณ ภายนอกซุ้มประตู
            ๓. พระอานนทเถระได้เห็นพระนางมหาปชาบดีโคตมีในลักษณาการดั่งกล่าว ถามทราบความว่าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาตอนาคาริยบรรพชาในพระธรรมวินัย อันพระตถาคตเจ้าประกาศแล้วแก่มาตุคาม จึงทูลว่าถ้าอย่างนั้นจงทรงคอยอยู่ที่นี่ก่อน จนกว่าจะทูลขอพระผู้มีพระภาคให้ประทานอนาคาริยบรรพชาแก่มาตุคาม
            ลำดับนั้น พระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคม นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่งแล้ว จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า "พระเจ้าข้า พระนางมหาปชาบดีโคตมี ทรงมีพระบาทเปล่า มีพระกายอันมัวมอมด้วยฝุ่นละออง ทรงระทมทุกข์ เสียพระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ทรงกันแสง ประทับยืน ณ ภายนอกซุ้มประตูนั้น  ด้วยทรงคิดว่าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาตอนาคาริยบรรพชาแก่มาตุคาม โปรดเถิด พระเจ้าข้า ขอให้มาตุคามได้อนาคาริยบรรพชาในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วเถิด" พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "ดูก่อนพระอานนท์ อย่าเลย ท่านอย่าพอใจอนาคาริยบรรพชาของมาตุคามในพระธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้วเลย ." แม้ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม พระอานนท์ทูลขอ พระผู้มีพระภาคก็ตรัสห้ามอย่างนั้น
            ลำดับนั้น พระอานนท์จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า "พระเจ้าข้า มาตุคามบวชเป็นอนาคาริยะในพระธรรมวินัยอันพระตถาคตเจ้าประกาศแล้ว จะควรหรือไม่ที่จะทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตตผล" พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ควร พระอานนท์กราบทูลต่อไปว่าถ้าควร พระนางมหาปชาบดีโคตมี พระน้านางของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้มีอุปการะมาก เป็นผู้ปกป้องเลี้ยงดูถวายพระขีระ เมื่อพระพุทธมารดาสวรรคตแล้วก็ได้ให้พระผู้มีพระภาคทรงดื่มพระขีระ โปรดเถิด พระเจ้าข้า ขอให้มาตุคามได้อนาคาริยบรรพชาในพระธรรมวินัยอันพระตถาคตเจ้าประกาศแล้วเถิด"
            ๔. พระพุทธเจ้าประทานอนุญาตภิกษุณีบรรพชาโดยมีเงื่อนไข พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "ดูก่อนอานนท์ ถ้าพระนางมหาปชาบดี โคตมี จะทรงรับครุธรรม ๘ ประการได้ นั้นก็จงเป็นอุปสัมปทา (การบวช) ของพระนางเถิด คือ 
               ๑) นางภิกษุณีแม้บวชแล้ว ๑๐๐ ปี ต้องทำอภิวาท การลุกขึ้นต้อนรับ อัญชลีธรรม และสามีจิกรรมแก่ภิกษุผู้บวชในวันนั้น นี้เป็นธรรมที่นางภิกษุณีพึงสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ก้าวล่วงจนตลอดชีวิต  
               ๒) นางภิกษุณีไม่พึงจำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ นี้เป็นธรรมที่นางภิกษุณีพึงสักการะ เคารพนับถือ บูชา ไม่ก้าวล่วงจนตลอดชีวิต
               ๓) นางภิกษุณีพึงหวังธรรม ๒ อย่างจากภิกษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือน คือ การถามวันอุโบสถกับ การเข้าไปหา เพื่อรับโอวาทนี้เป็นธรรมที่นางภิกษุณีพึงสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ก้าวล่วงจนตลอดชีวิต
               ๔) นางภิกษุณีจำพรรษาแล้ว พึงปวารณาในสงฆ์ ๒ ฝ่าย (ภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์) ด้วยฐานะ ๓ คือ ด้วยได้เห็นหรือด้วยได้ฟังหรือด้วยนึกรังเกียจ นี้เป็นธรรมที่นางภิกษุณีพึงสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ก้าวล่วงจนตลอดชีวิต
               ๕) นางภิกษุณีทีต้องครุธรรม (ต้องอาบัติสังฆาทิเสส) พึงประพฤติมานัตต์ตลอดปักษ์ในสงฆ์ ๒ ฝ่าย นี้เป็นธรรมที่นางภิกษุณีพึงสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่ก้าวล่วงจนตลอดชีวิต 
               ๖) นางสิกขมานา (สตรีผู้ก่อนเป็นนางภิกษุณี ต้องเป็นนางสิขมานา แปลว่า ผู้ศึกษา) ได้ศึกษาสิกขาในธรรม ๖ ประการตลอด ๒ ปีแล้ว จึงควรแสวงหาอุปสมบทในสงฆ์ ๒ ฝ่าย(คือก่อนจะบวชเป็นนางภิกษุณี จะต้องเป็นนางสิกขมานา ๒ ปี ระหว่าง ๒ ปี รักษาศีล ๖ ข้อ ขาดไม่ได้ ศีล ๖ ข้อ คือ ศีล ๕ กับเพิ่มข้อที่ ๖ อันได้แก่การเว้นบริโภคอาหารในเวลาวิกาล) นี้เป็นธรรมที่นางภิกษุณีพึงสักการะ เคารพนับถือ บูชา ไม่ก้าวล่วงจนตลอดชีวิต
               ๗) นางภิกษุณี ไม่พึงด่า ไม่พึงบริภาษภิกษุด้วยปริยายใดๆ นี้เป็นธรรมที่นางภิกษุณีพึงสักการะเคารพ บูชา ไม่ก้าวล่วงจนตลอดชีวิต
               ๘) จำเดิมแต่วันนี้ไป ห้ามนางภิกษุณีว่ากล่าวสั่งสอนภิกษุ ไม่ห้ามภิกษุกล่าวสั่งสอนนางภิกษุณีนี้เป็นธรรมที่นางภิกษุณีพึงสักการะ นับถือ เคารพ บูชา ไม่ก้าวล่วงจนตลอดชีวิต 
              ดูก่อนอานนท์ ถ้าพระนางมหาปชาบดีโคตมี รับครุธรรม ๘ ประการเหล่านี้ได้ นั้นก็จงเป็นอุปสัมปทา (การบวช) ของพระนางเถิด"               
            ๕. พระอานนท์นำครุธรรมไปบอกพระนางมหาปชาบดีโคตมี
              ลำดับนั้น พระอานนท์ผู้มีอายุ เรียนครุธรรม ๘ ประการในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ก็เข้าไปเฝ้าพระนางมหาปชาบดี โคตมี แล้วกล่าวว่า "พระนางโคตมี ถ้าพระนางจะพึงรับครุธรรม ๘ ประการได้ นั้นก็จักเป็นอุปสัมปทา(การบวช) ของพระนาง คือ (มีข้อความเหมือนข้างต้น)." 
              ๖. พระนางมหาปชาบดี โคตรมีทรงรับและทูลตอบว่า "ข้าแต่พระอานนท์ผู้เจริญ หญิง หรือชายรุ่นหนุ่มสาว รักการประดับ สนานศีรษะแล้ว ได้พวงมาลัยดอกอุบลก็ดี พวงมาลัยดอกมะลิก็ดี พวงมาลัยดอกลำดวนก็ดี พึงประดิษฐานไว้บนกระหม่อม บนศีรษะฉันใด ข้าพเจ้าก็ฉันนั้น จะรับครุธรรม ๘ ประการเหล่านี้ไว้ ไม่ก้าวล่วงจนตลอดชีวิต" 
[๒]

บทบาทของภิกษุณีในประเทศไทย
          บทบาทของภิกษุณี นิกายมหายานที่มีส่วนช่วยในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา (ภิกษุณีอัมพิกา คูวินิชกุล เจ้าอาวาสหญิงรูปแรกของไทย วัดโฝวกวงซัน )  ปัจจุบันท่านเป็นผู้หญิงที่มีเก่ง มีความรู้ ความสามารถและดำรงตำแหน่งได้ทัดเทียมกับผู้ชาย ท่านได้มีส่วนช่วยในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้เป็นที่รู้จักโดยกว้าง โดยผลของการวิจัยก็พบว่า พบว่าประชาชนส่วนใหญ่มีทัศนะคติในเชิงบวก เกี่ยวกับบทบาทของภิกษุณีอัมพิกา คูวินิชกุล เจ้าอาวาสหญิงรูปแรกของไทย วัดโฝวกวงซัน (ประเทศไทย) ที่มีส่วนช่วยในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศไทย โดยมีความเห็นว่า ภิกษุณีอัมพิกา เจ้าอาวาสวัดโฝวกวงซัน เป็นภิกษุณีที่เป็นแบบอย่างของพระพุทธศาสนา มีอุดมการณ์ที่แน่วแน่เพื่อพระพุทธศาสนาและสังคม  มิใช่เพื่อชื่อเสียง ยศ ตำแหน่ง หรือลาภสักการะใด ท่านเจ้าอาวาสวัดโฝวกวงซัน มีความรู้ ความเข้าใจในหลักพระธรรมวินัยอย่างดียิ่ง ตลอดจนยังมีบทบาทอย่างมาก ในการช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนามหายานในประเทศไทย ให้เป็นที่รู้จักของคนในสังคมและท่านภิกษุณียังมีเทคนิคในการเผยแผ่ศาสนาให้เป็นที่สนใจ โดยสามารถชักนำให้ผู้คนเข้ามาปฏิบัติธรรม และสนใจในพระพุทธศาสนามากขึ้น ประชาชนส่วนใหญ่มีความเห็นว่า วัดโฝวกวงซันมีหลายสาขาทั่วโลก ทำให้ง่ายต่อการเลือกปฏิบัติอีกทั้งเปิดโอกาสให้คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกศาสนา สามารถเข้ามาปฏิบัติและศึกษาธรรมะได้  โดยไม่มีการแบ่งแยกศาสนา ในด้านของมูลนิธิแสงพุทธธรรม วัดโฝวกวงซันนั้น ถือว่ามีบทบาทอย่างมากในการช่วยเหลือสังคม เช่น เปิดโอกาสสอนภาษาจีน สอนการทำอาหารเจ สอนการจัดดอกไม้ เพื่อเป็นการเสริมความรู้ และทักษะทางด้านอาชีพให้กับเยาวชน ตลอดจนยังได้มีการจัดตั้งทุนของทางมูลนิธิแสงพุทธธรรม เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้กับผู้ด้อยทางการศึกษาของสังคมอีกด้วย
            ถึงแม้ว่า ภิกษุณี จะเป็นสถานภาพนักบวชสตรีที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ในสังคมไทย โดยบวชจากคณะสงฆ์ต่างประเทศ เช่น ภิกษุณีที่วัดโฝวกวงซันนั้นก็ได้รับการบวชมาจากพระอุปัชฌาย์ที่ประเทศไต้หวัน  แต่ในท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของคนในสังคมเกี่ยวกับการมีภิกษุณีในประเทศไทยนั้น  ซึ่งมีทั้งฝ่ายที่สนับสนุน คัดค้าน และข้อห้ามของคณะสงฆ์ แต่ภิกษุณีก็สามารถดำเนินกิจกรรมและปฏิบัติศาสนกิจต่อไปได้ตามเสรีภาพที่ได้รับจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี พ.ศ. ๒๕๔๐  มาตราที่ ๓๘ ว่าด้วยเสรีภาพในการนับถือศาสนา เนื่องจากภิกษุณีเป็นสถานภาพของนักบวชในพระพุทธศาสนา  ซึ่งความเป็นอยู่และการได้มาซึ่งปัจจัย ๔ ต้องขึ้นกับการสนับสนุนของคนในสังคม  ภิกษุณีเมื่อเกิดขึ้นแล้วในสังคมจะมีบทบาทเผยแผ่พระพุทธศาสนาและบทบาทในเชิงสังคมมากน้อยเพียงใด  เพื่อที่ครองศรัทธาของประชาชนให้ยั่งยืนต่อไปได้จากการวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเพียงแค่บทบาทของภิกษุณีอัมพิกา คูวินิชกุล เจ้าอาวาสวัดโฝวกวงซัน ตลอดจนภิกษุณีที่จำวัด ณ วัดโฝวกวงซันเท่านั้นและหลังจากที่ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาวิจัย ทำให้ทราบถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมขณะนี้
            การที่พระพุทธองค์อนุญาตให้มีภิกษุณีในพระพุทธศาสนานั้นมองได้ว่า เป็นการยอมรับทางภูมิปัญญาและความสามารถของสตรีในการสำเร็จมรรคผล ศีลหรือระเบียบวินัยของภิกษุณีมีจำนวนมากและเคร่งครัดกว่าภิกษุนั้น  ส่วนที่เพิ่มเติมขึ้นเป็นพิเศษนั้นก็เป็นไปตามข้อเท็จจริงของธรรมชาติทางกาย จิตใจ และเพื่อสวัสดิภาพ ความปลอดภัยของภิกษุณีเป็นส่วนใหญ่[๓]

ปัญหาเรื่องการบวชภิกษุณีในพระพุทธศาสนาเถรวาท
                    ปัญหาหนึ่งเกี่ยวกับสตรีในพุทธศาสนาคือปัญหาเรื่องการอุปสมบทเป็นภิกษุณีในพระพุทธศาสนาเถรวาท เนื่องจากมีสตรีชาวพุทธจำนวนไม่น้อยต้องการอุปสมบทเป็นภิกษุณีในพุทธศาสนาเถรวาทและพระสงฆ์ลังกาบางวัดหรือบางสำนักก็อนุญาตให้มีการอุปสมบทภิกษุณีในวัดของตนได้ ทำให้สตรีชาวพุทธบางท่านได้เข้าอุปสมบทเป็นภิกษุณีในสำนักของพระสงฆ์ลังกาดังกล่าว
            ประเด็นสำคัญของปัญหานี้คือ มีการเรียกร้องให้คณะสงฆ์ไทยยินยอมให้มีการอุปสมบทภิกษุณีในประเทศไทยด้วย ซึ่งนักคิดชาวไทยบางคนก็เห็นด้วยโดยอ้างเหตุผลต่างๆ มาสนับสนุนเกี่ยวกับปัญหานี้มีเหตุผลบางประการมาอภิปรายเพื่อชี้ให้เห็นว่า การอุปสมบทเป็นภิกษุณีเป็นเรื่องที่ดี หากพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนมชีพอยู่ก็คงจะทรงอนุญาตให้บวชได้เพราะสภาพสังคมในปัจจุบันต่างจากสภาพสังคมอินเดียในสมัยพุทธกาลมาก แต่ที่คณะสงฆ์ไทยหรือพุทธศาสนาเถรวาทส่วนใหญ่ไม่อนุญาตให้สตรีอุปสมบทเป็นภิกษุณีนั้นเป็นเพราะเงื่อนไขของพุทธศาสนาเถรวาทที่วางไว้มาแต่เดิม ไม่ใช่เป็นเพราะความเห็นแก่ตัวหรือเป็นเพราะอคติของคณะสงฆ์  ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจทั้งสองฝ่าย เพราะฝ่ายสตรีก็มีเจตนาดีในการบวช ฝ่ายภิกษุสงฆ์ก็จะต้องทำตามพระธรรมวินัยและกฎกติกาของนิกาย
            ๑. เนื่องจากพุทธศาสนาเถรวาทได้มีมติในคราวสังคายนาครั้งที่ ๑ ว่าจะไม่มีการเพิกถอนสิกขาบทเล็กน้อย กล่าวอีกอย่างคือจะรักษาพระธรรมวินัยที่ทรงจำกันมาไว้ตามเดิมทุกอย่างภายใต้มตินี้ พุทธศาสนาเถรวาทจึงไม่สามารถให้อุปสมบทแก่สตรีได้ เพราะภิกษุณีสงฆ์ที่เป็นเถรวาทแท้ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการอุปสมบทภิกษุณีนั้นไม่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน การจะนำเอาภิกษุณีฝ่ายมหายานที่ในอดีตได้รับการอุปสมบทจากภิกษุณีเถรวาทมาแทนที่ย่อมเป็นไปไม่ได้ตามหลักพระวินัยของเถรวาทเพราะภิกษุณีมหายานมีสังวาส (ข้อปฏิบัติเพื่ออยู่ร่วมกันในหมู่) ต่างจากภิกษุและภิกษุณีเถรวาท เนื่องจากเป็นภิกษุณีที่บวชโดยภิกษุสงฆ์ของมหายานและมีข้อปฏิบัติที่ต่างจากเถรวาท การทำสังฆกรรมกับสงฆ์ที่มีสังวาสต่างกัน (นานาสังวาส) ตามพระวินัยของเถรวาทถือว่าเป็นสังฆกรรมที่ใช้ไม่ได้ การอุปสมบทด้วยวิธีนี้จึงไม่ถูกต้องตามพระวินัยของเถรวาท ผู้อุปสมบทจึงไม่ใช่ภิกษุณีตามข้อกำหนดของพุทธศาสนาเถรวาท
            ๒. ถ้าแก้ปัญหาด้วยการแก้พระวินัยดังกล่าวนั้น สิ่งที่ตามมาก็คือผู้อุปสมบทอาจเป็นภิกษุณีในนิกายเถรวาทใหม่  แต่ไม่ใช่นิกายเถรวาทเดิมที่นับถือกันอยู่ในขณะนี้ เพราะโดยคำนิยามหรือลักษณะเฉพาะของพระพุทธศาสนาเถรวาทจะไม่มีการแก้พระวินัยเช่นนั้น นิกายที่แก้พระวินัยจึงไม่ใช่เถรวาทตามความหมายเดิม  ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าผู้ต้องการอุปสมบทต้องการเป็นภิกษุณีในนิกายเดิมหรือนิกายใหม่ หากต้องการเป็นภิกษุณีในนิกายใหม่ก็ไม่มีปัญหาอันใด ดังเช่นกรณีของภิกษุณีที่อุปสมบทในสำนักของพระสงฆ์ลังกา  แต่ถ้าต้องการเป็นภิกษุณีในนิกายเดิมจะมีปัญหา เพราะไม่สามารถเป็นได้ การแก้พระวินัยเพื่อให้อุปสมบทภิกษุณีได้จึงเป็นเรื่องที่มีความขัดแย้งในตัวเอง เพราะผู้ต้องการบวชมีความประสงค์อยากเป็นภิกษุณีของพุทธศาสนาเถรวาทที่ถือกันว่าสืบทอดพระธรรมวินัยมาอย่างเคร่งครัดที่สุดเป็นนิกายที่เก่าแก่ที่สุดหรือถือกันว่าเป็นจริงที่สุด  แต่การแก้พระธรรมวินัยกลับทำให้พุทธศาสนาเถรวาทที่ตนเองต้องการเข้าร่วมด้วยนั้นกลายเป็นไม่ใช่พุทธศาสนาเถรวาทที่ตัวเองต้องการเข้าร่วมด้วย เพราะการแก้พระวินัยทำให้สูญเสียเอกลักษณ์ของพุทธศาสนาเถรวาทที่ว่าเก่าแก่ที่ของจริงที่สุดนั้น   
            ๓. การแก้พระวินัยดังกล่าวภิกษุผู้แก้พระวินัยถือได้ว่าเป็นผู้ทำให้พระวินัยของพุทธศาสนา วิปริตคลาดเคลื่อนซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบาปที่ร้ายแรง  เมื่อเป็นเช่นนี้ใครเล่าจะกล้าเป็น “คนบาป” คนนั้น เรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่น่าเห็นอกเห็นใจต่อคณะสงฆ์ที่ไม่สามารถให้อุปสมบทได้ ไม่ใช่ไม่อนุญาต แต่ อนุญาตไม่ได้  เพราะตามหลักการของพุทธศาสนาเถรวาท คณะสงฆ์ไม่มีสิทธิในการปรับแก้พระวินัย  แต่ต้องทำตามพระวินัยเท่านั้น เหมือนตำรวจต้องทำหน้าที่ตามกฎหมายโดยไม่มีสิทธิจะแก้กฎหมาย  ดังนั้น แม้นักคิดบางคนจะอ้างว่าพระวินัยที่เกี่ยวกับการอุปสมบทภิกษุณีโดยเฉพาะเรื่องครุธรรม ๘  ไม่ใช่พระพุทธพจน์คือเรื่องที่เติมมาในภายหลังก็ดี  พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ถอนสิกขาบทเล็กน้อย ก็ดี การไม่อนุญาตให้อุปสมบทเป็นภิกษุณีเกิดมาจากอคติทางเพศหรืออคติหญิง ของพระสงฆ์ที่ดู หมิ่นสตรีหรือกลัวสตรีจะเด่นกว่าเป็นต้น แต่เหตุผลดังกล่าวไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ เพราะเหตุผล ประการแรกไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนพอที่จะทำให้คณะสงฆ์ทั้งหมดยอมรับ อีกทั้งวินัยดังกล่าวก็คือแนว ปฏิบัติของพุทธศาสนาเถรวาทที่สืบทอดกันมานาน (แม้แต่มหายานในจีนก็พยายามทำการอุปสมบท ภิกษุณีตามวินัยของเถรวาทนี้โดยการอาราธนาภิกษุณีลังกาไปให้การอุปสมบท) และการถอน  สิกขาบทเล็กน้อยก็ขัดกับหลักการหรือเอกลักษณ์ของพุทธศาสนาเถรวาท ซึ่งความเป็นจริงจะต้องถอน  สิกขาบทจำนวนไม่น้อยเพื่อให้การอุปสมบทภิกษุณีเป็นไปได้ซึ่งคงไม่ใช่ถอนสิกขาบทเล็กน้อย     
            ส่วนเรื่อง “อคติหญิง” นั้นก็ไม่เกี่ยวกับเหตุผลของเรื่องนี้โดยตรงเพราะไม่ว่าพระสงฆ์จะมีอคติหรือไม่ก็ตามแต่เมื่อว่าตามหลักการดังกล่าวจะอุปสมบทเป็นภิกษุณีในพุทธศาสนาเถรวาท ที่แท้จริง ย่อมเป็นไม่ไม่ได้อยู่ดี นั่นคือถึงจะอุปสมบทเป็นภิกษุณีก็ไม่ใช่ภิกษุณีในความหมายที่แท้จริงของพุทธศาสนาเถรวาท ฉะนั้นเมื่อกล่าวโดยยึดหลักการของพุทธศาสนาเถรวาทอย่างเข้มงวดการอุปสมบทเพื่อเป็นภิกษุณีในพุทธศาสนาเถรวาทที่แท้จริงจึงเป็นไปไม่ได้ตามเงื่อนไขเหล่านี้ ทางออกสำหรับปัญหานี้จึงมีอยู่ ๓ ทาง คือ
            ) การตั้งพุทธศาสนานิกายใหม่หรือ เถรวาทใหม่ ที่ไม่มีปัญหาเรื่องพระวินัยเกี่ยวกับการอุปสมบทภิกษุณี ซึ่งเป็นทางออกที่ทำได้ยาก เพราะต้องหา ผู้นำ ที่มีศักยภาพและบารมีที่คนยอมรับอีกทั้งกล้าที่จะยอมรับความเป็นเถรวาทใหม่ที่ไม่ใช่ของแท้ดั้งเดิม
            ) การสร้างผลงานของภิกษุณีที่บวชจากที่อื่น เช่น ลังกา ให้สังคมยอมรับจนในที่สุดเมื่อถึงเวลาที่คณะสงฆ์ส่วนใหญ่เปลี่ยนเจตคติและค่านิยมต่อหลักการหรือเอกลักษณ์ดังกล่าวของพุทธศาสนาเถรวาท การอุปสมบทเป็นภิกษุณีในพุทธศาสนาเถรวาทโดยเฉพาะในประเทศไทยก็อาจเป็นจริงได้ แต่ทางเลือกนี้ต้องใช้เวลายาวนานและขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ทางสังคมและการเมืองที่จะมา เปลี่ยนแปลงความเชื่อและค่านิยมของคณะสงฆ์ไทย เช่น เดียวกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับคณะ สงฆ์ในจีนและญี่ปุ่นและถ้าคณะสงฆ์เปลี่ยนแปลงเช่นนั้นจริง พุทธศาสนาเถรวาทในประเทศไทยก็ ไม่ใช่พุทธศาสนาเถรวาทแบบดั้งเดิมอีกต่อไปแต่เป็น เถรวาทใหม่
            ) การสร้างหรือส่งเสริมนักบวชสตรีในรูปแบบอื่นๆ เช่นการสร้างภิกษุณีแบบใหม่ใน รูปแบบของพรหมจารินีหรือทสสีลมาตาหรือส่งเสริมสถานภาพของแม่ชีที่มีอยู่แล้วให้ได้รับการยอมรับ มากขึ้นในปัจจุบัน หากไม่ต้องการหรือไม่สามารถดำเนินการตามแนวทางทั้ง ๓ ข้อได้ สตรีผู้ต้องการ เป็นภิกษุณีของเถรวาทก็คงต้องเข้ารับการอุปสมบทจากคณะสงฆ์ลังกาที่อนุญาตให้มีการอุปสมบท ภิกษุณีในสำนักของตนแล้ว ซึ่งผู้ที่อุปสมบทเป็นภิกษุณีไม่ว่าจากคณะสงฆ์ฝ่ายมหายานหรือฝ่ายเถร วาทในลังกาก็ถือว่าเป็นภิกษุณี เป็นนักบวชผู้ทรงศีลที่ควรแก่การสักการบูชาเช่นเดียวกับภิกษุในนิกาย ทั้งสอง
            ชาวพุทธไม่ควรมาวิวาทบาดหมางกันจนเสียความสามัคคีในเรื่องนี้ แม้จะยังแก้ปัญหานี้ไม่ได้ก็ควรตั้งใจปฏิบัติธรรมและเผยแผ่พุทธศาสนาเพื่อประโยชน์ทั้งตนเองและชาวโลก สืบไป เพราะการปฏิบัติธรรมและเผยแผ่พุทธศาสนาเป็นหน้าที่ของชาวพุทธทุกคนและชาวพุทธทุกคน สามารถทำได้มากน้อยแล้วแต่เงื่อนไขจะกำหนด หากวิวาทจนเกิดความแตกแยกต่อไปในภายหน้า แม้แต่ตัวพุทธศาสนาเองก็จะไม่เหลือให้ชาวโลกได้นับถืออีกต่อไป ไม่จำต้องกล่าวถึงโอกาสได้บวชเป็นภิกษุหรือภิกษุณี[๔]

ประเทศไทยกับการบวชพระภิกษุณี
             การบวชของนางภิกษุณีหรือนักบวชหญิงในประเทศไทยมาเป็นระยะๆ และดูเหมือนว่าในช่วงนี้ได้มีผู้พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่งและในครั้งนี้มีความเห็นว่าสามารถบวชภิกษุณีในประเทศไทยได้  โดยนำภิกษุณีสงฆ์จากประเทศศรีลังกามาทำการบวชให้ภิกษุณีสงฆ์ของไทยอีกครั้ง ตามนัยแห่งพระวินัยบัญญัติแต่ไม่ระบุให้ชัดเจนว่าเป็นนิกายใดนิกายหนึ่งในสองนิกาย  จึงทำให้เข้าใจได้ว่าสามารถบวชภิกษุณีได้  แต่อย่างไรก็ตามความเห็นที่ว่านี้แพร่ออกไปได้มีผู้รู้ท่านหนึ่งโทรศัพท์มาบอกผู้เขียนว่าไม่สามารถบวชเป็นภิกษุณีได้  เพราะเป็นสงฆ์ที่เรียกว่า “นานาสังวาส” จึงทำให้เกิดเป็นข้อขัดแย้งทางความคิดในแง่ของการตีความทางพระวินัย
            ดังนั้น จึงเห็นว่าน่าจะนำเรื่องนี้มาเสนอท่านผู้อ่านเพื่อเป็นการทำความเข้าใจให้ถูกต้องโดยยึดพระธรรมวินัยเป็นหลักและไม่มีการสอดแทรกความคิดเห็นอันเป็นปัจเจกบุคคลเข้าไปผสมเพื่อให้เกิดความไขว้เขว และจะเป็นการทำลายศรัทธาผู้ต้องการบวช ทั้งอาจเป็นการทำให้มีการตีความในทางที่ผิดๆ ได้ด้วย ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านผู้อ่านควรจะได้รู้ถึงที่มาของการบวชเป็นภิกษุณีและข้อวัตรปฏิบัติที่นางภิกษุณีจะต้องถือปฏิบัติอย่างครบถ้วนด้วย เริ่มด้วยนางภิกษุณีคนแรกคือใคร และทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงยอมให้ผู้หญิงบวชได้ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าเองก็เคยตรัสว่ามาตุคามเป็นอันตรายสำหรับภิกษุบวชใหม่  ซึ่งเปรียบด้วยปลาฉลามร้ายด้วยซ้ำไป แต่ด้วยเห็นความตั้งใจและความมุ่งมั่นของผู้ต้องการบวชเป็นภิกษุณีจึงยอมตกลงให้บวชได้     
            พระนางมหาปชาบดีโคตรมีเถรี ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระน้านางของพระพุทธองค์ เป็นสตรีคนแรกที่ต้องการบวชในพระพุทธศาสนา แต่เมื่อมาทูลขอบวช พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต ด้วยทรงปฏิเสธถึง ๓ ครั้งโดยพระพุทธวาจาว่า อย่าเลยท่านเป็นมาตุคาม อย่าพอใจบรรพชาเป็นอนาคาริยะในพระธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลย และพระนางเห็นว่าไม่ทรงอนุญาตก็ทูลลาไป  แต่ในที่สุดพระพุทธองค์ก็ทรงยอมให้พระมหาปชาบดีโคตมีเถรีบวชได้  เมื่อเห็นว่าพระน้านางตั้งใจจริงและประกอบกับการกราบทูลขอพระอานนท์ผู้เป็นพุทธอุปัฏฐาก แต่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตโดยมีเงื่อนไขด้วยการตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ถ้าพระนางปชาบดีโคตมี จะทรงรับครุธรรม ๘ ประการได้ ก็จะอนุญาตให้บวชได้ (ครุธรรม ๘ ประการ ดูหน้า ๔-๕)
            จากครุธรรม ๘ ประการนี้ จะเห็นได้ว่าพระพุทธองค์ได้ทรงอนุญาตให้สตรีบวชได้ด้วยเงื่อนไขที่ค่อนข้างเคร่งครัดอย่างมาก อันเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าพระองค์ทรงมองเห็นความเสื่อมของวงการสงฆ์ อันเกิดจากการให้สตรีบวชแต่โดยง่ายจึงได้วางเงื่อนไขเช่นนี้ และน่าจะเป็นด้วยเงื่อนไขที่ว่านี้เอง ทำให้วงการภิกษุณีสงฆ์ลดน้อยถอยลงเมื่อเวลาล่วงเลยมา อีกประการหนึ่ง ในการบัญญัติพระวินัยสำหรับภิกษุณีก็เคร่งครัดกว่าภิกษุทั้งจำนวนก็มากกว่าด้วย เมื่อเทียบกันจะเห็นได้ว่าพระภิกษุสงฆ์มีศีล ๓๑๑ ข้อ พระภิกษุมีอยู่ ๒๒๗ ข้อ มีมากกว่าอยู่ถึง ๘๔ ข้อ และในจำนวน ๓๑๑ ข้อนี้  เมื่อพิจารณาจากโทษที่ปรับอาบัติแล้วจะเห็นได้ว่าในข้อที่ปรับอาบัติภิกษุในระดับกลาง คือ สังฆาทิเสสบางข้อ แต่ปรับนางภิกษุณีหนักถึงขั้นปาราชิก เป็นต้น การปรับอาบัติทำนองนี้บ่งบอกชัดเจนว่าทรงเน้นย้ำให้เห็นว่าการปกครองในหมู่ภิกษุณีสงฆ์จะต้องกระทำอย่างเคร่งครัดมากกว่าในหมู่ภิกษุสงฆ์และน่าจะด้วยเหตุนี้ที่ภิกษุณีสงฆ์จึงหมดไปอย่างรวดเร็วเมื่อโลกเปลี่ยนไปและคนมีกิเลสเพิ่มขึ้นจิตใจหยาบขึ้น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าวินัยจะเข้มงวด แต่ถ้ายังมีผู้ต้องการบวชและถ้ายืนยันได้ว่ายังมีภิกษุณีสงฆ์สืบต่อโดยไม่ขาดสายก็คงบวชได้ไม่มีปัญหา แต่ในประเทศไทยเป็นที่แน่นอนว่าไม่เคยมีภิกษุณีสงฆ์ต่อเนื่องมา จึงยืนยันโดยอาศัยวินัยและครุธรรม ๘ ประการ คงจะมีการบวชให้แก่สตรีเพศเพื่อเป็นภิกษุณีไม่ได้แน่นอน[๕]  

การประกาศของมติมหาเถรสมาคมห้ามพระภิกษุบวชภิกษุณี
            มติมหาเถรสมาคมห้ามภิกษุสงฆ์ไทยให้การบรรพชาอุปสมบทแก่สตรีเป็นสามเณรีและภิกษุณี เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ จึงทำให้   พระมหาเถระเหล่านั้นตกเป็นจำเลยในข้อหาอย่างน้อย ๓ ข้อ คือ  ๑.จำกัดสิทธิเสรีภาพสตรี  ๒. ปฏิบัติขัดหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน  ๓. ปฏิบัติขัดต่อหลักรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาตรา ๔ ล้วนเป็นข้อหาฉกาจฉกรรจ์ ข้อหาทั้ง ๓ ข้อนี้มีสาเหตุมาจากการประกาศห้ามพระภิกษุสงฆ์ไทยให้บรรพชาอุปสมบทแก่สตรีเป็นสามเณรีและภิกษุณี (เถรวาท) และห้ามภิกษุสงฆ์ชาติอื่นมาทำการบรรพชาและอุปสมบทแก่สตรีแบบเถรวาทในประเทศไทยก่อนได้รับอนุญาตจากคณะสงฆ์ไทย ความจริงมหาเถรสมาคมนั้นประกาศห้ามหรือไม่ประกาศห้ามก็มีค่าเท่ากัน  เพราะแม้ท่านจะบวชให้สตรีให้เป็นภิกษุณีเอง สตรีนั้นก็ไม่มีทางเป็นภิกษุณีได้เลย บวชให้ไปก็เสียเปล่าแถมต้อง[๖]อาบัติอีก สตรีผู้เข้าบวชก็เท่ากับถูกหลอกให้เป็นภิกษุณีเท่านั้นเอง ไม่สามารถสำเร็จเป็นภิกษุณี เข้าลักษณะปาราชิกตั้งแต่เริ่มบวชหรือก่อนบวชแล้ว  มีสตรีบางท่านออกมาบอกว่าได้ศึกษามาดีแล้วบวชได้แน่นอนแสดงความอ่อนด้อยปัญญาออกมาชัดๆ ทั้งนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า
            ๑. พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ภิกษุสงฆ์ทำการให้อุปสมบทแก่สตรีซึ่งไม่ได้รับการอุปสมบทมาจากภิกษุณีสงฆ์ก่อน
            ๒. ผู้ที่เป็นภิกษุณีต้องเคารพในพระวินัย ต้องเคารพในครุธรรม ๘ การที่ภิกษุสงฆ์จะบวชให้ใครต้องเป็นไปตามพระธรรมวินัยโดยเคร่งครัด ไม่เอื้อเฟื้อพระวินัยจะเป็นภิกษุณีได้อย่างไร
            ๓. พระภิกษุสงฆ์ท่านเคารพพระธรรมวินัยเป็นศาสดา ตามบทพระบาลีในมหาปรินิพพานสูตรที่ว่า “โย โว อานนฺท  มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา” แปลว่า ดูกรอานนท์ พระธรรมและพระวินัยอันใดที่เรา (ตถาคต) ได้แสดงไว้แล้ว ได้บัญญัติไว้แล้ว แก่เธอทั้งหลาย  โดยกาลที่ล่วงไปแห่งเรา (ตถาคต) พระธรรมและพระวินัยอันนั้นจักเป็นศาสดาของพวกเธอภิกษุใดไม่ทำตามนี้ย่อมชื่อว่าไม่เคารพพระศาสดา เมื่อไม่เคารพพระศาสดาการดำรงตนเป็นภิกษุสงฆ์ก็จะมีประโยชน์อะไร
            ๔. ในอปริหานิยธรรมสูตร พระสูตรว่าด้วยเรื่องหลักแห่งความไม่เสื่อมของหมู่คณะ มีแต่ความเจริญฝ่ายเดียว  เอาเฉพาะข้อที่ ๓ ว่า ไม่บัญญัติสิกขาบทพระพุทธเจ้าไม่บัญญัติ ไม่รื้อถอนสิกขาบทที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้วหมายความว่าถ้าภิกษุรูปใดให้การอุปสมบทแก่สตรีเป็นภิกษุณี ก็เท่ากับว่าภิกษุรูปนั้นบัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ รื้อถอนถอนสิกขาบทที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้ว  นั่นคือทำให้พระศาสนาเสื่อมอย่างนั้นแล้วจะเป็นภิกษุอยู่ทำไม
            ๕. พระภิกษุสงฆ์ท่านเคารพในพระศาสดาคือพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ท่านเคารพในหลักสิทธิมนุษยชน  ไม่ใช่ท่านเคารพหลักสิทธิเสรีภาพ  ท่านไม่ได้เอาหลักเหล่านี้เป็นศาสดา จึงต้องปฏิบัติตามคำสอนของศาสดา
            ๖. พระภิกษุสงฆ์ท่านไม่ได้เอารัฐธรรมนูญเป็นศาสดา  แต่ท่านเอาพระธรรมและพระวินัยเป็นศาสดา ลองคิดดูเถอะว่าถ้าท่านเอารัฐธรรมนูญเป็นศาสดา  ถึงวันนี้พระศาสดาจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ไทยเรามีรัฐธรรมนูญมาแล้ว ๑๘ ฉบับ  หนึ่งฉบับก็เป็น ๑ หน้า พระพุทธเจ้าก็คงจะ ๑๘ หน้า ๑๙ หน้าไปแล้ว
            ๗. เหตุแห่งความเสื่อมของพระศาสนา ๕ อย่าง คือ 
                 ๑) พุทธบริษัท ไม่ฟังธรรมโดยเคารพ
                 ๒) พุทธบริษัท ไม่เรียนธรรมโดยเคารพ
                 ๓) พุทธบริษัท ไม่ทรงจำธรรมโดยเคารพ
                 ๔) พุทธบริษัท ไม่พิจารณาธรรมที่ทรงจำไว้ได้แล้วโดยเคารพ
                 ๕) พุทธบริษัท ไม่ยอมปฏิบัติธรรมตามที่ได้ศึกษาเข้าใจแล้วโดยเคารพ
            ข้อสุดท้ายคือการไม่ปฏิบัติตามพระธรรมที่ศึกษาแล้ว แสดงว่าไม่เคารพต่อพระธรรมวินัย พระภิกษุสงฆ์ไทยท่านรักษาพระพุทธศาสนามาได้ ๒,๓๐๐ กว่าปี เพราะท่านปฏิบัติพระธรรมวินัยมาด้วยความเคารพพระธรรมวินัย  การที่นักสิทธิมนุษยชนมาขอร้องหรือมาบังคับให้ท่านทำตามตนย่อมเป็นไปไม่ได้  แต่หากเป็นไปได้เมื่อใดก็เป็นอันว่านับถอยหลังพระพุทธศาสนาได้  อย่างไรก็ตามเชื่อว่าท่านคงไม่ยอมทำเช่นนั้น
            ๘. ไม่เคยมีหลักฐานใดแสดงว่าเชื้อสายภิกษุณีสายเถรวาทเคยเข้ามาสู่ประเทศไทย เอากันตั้งแต่ยุคสุวรรณภูมิที่พระเจ้าอโศกมหาราชส่งพระโสณเถระ พระอุตตรเถระ พระฌานียเถระ พระภูริยเถระ พระมุนียเถระ เข้ามาสู่สุวรรณภูมิเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๖ ก็ไม่มีภิกษุณีมาด้วย เมื่อกุลธิดา ต้องการจะบวชท่านก็ให้บวชเป็น ชี” นับตั้งแต่ พ.ศ. นั้นเองที่แม่ชีเกิดมีขึ้นในแผ่นดินสุวรรณภูมินี้ แล้วมาถึงวันนี้พระภิกษุสงฆ์จะทำการอุปสมบทให้แก่สตรีได้อย่างไร  
            ๙. พระภิกษุสงฆ์ ท่านจะไม่ทำตัวเป็นศาสดาเสียเองและจะไม่ทำตามคำขอร้องหรือข้อบังคับของใครที่ออกนอกพระธรรมวินัยจะมาอ้างเป็นนักสิทธิมนุษยชน เป็นนักเสรีภาพ เป็นนักประชาธิปไตย เป็นนักร่างกฎหมายหรือนักใดๆก็นักไปเถอะ เว้นแต่ภิกษุสงฆ์ท่านผู้นั้นจะเป็นพระนอกคอก คือ นอกพระธรรม นอกพระวินัยเท่านั้นไม่เคารพในพระศาสดาเท่านั้น
            ๑๐.  การวิพากษ์ว่าพระสงฆ์ไทยใจแคบก็คือการด่าพระสงฆ์  การวิพากษ์ว่าพระสงฆ์ไม่เคารพหลักสิทธิมนุษยชนก็คือการด่าพระสงฆ์ การที่มีข่าวทางโซเชียลมีเดียว่าจะไปสอบพระสงฆ์ซึ่งดำรงตำแหน่งมหาเถรสมาคม ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าท่านมีมติไปตามพระธรรมวินัย นับว่าเป็นวาทะที่น่าสมเพชเวทนาที่สุด  ไม่รู้ว่าเขาเหล่านั้นมาจากโลกไหนสวรรค์ไหน ความจริงพระภิกษุสงฆ์ท่านก็มีสิทธิเสรีภาพของท่านเหมือนกัน  จะไปรุกล้ำสิทธิเสรีภาพของท่านได้อย่างไร
            ๑๑. จากข่าวเรื่องการบวชภิกษุณีได้ทราบว่าสตรีเหล่านั้นบางส่วนไปบวชมาจากประเทศอื่นและกว่าสามสิบชีวิตมาบวชที่เกาะยอจังหวัดสงขลา แต่เอาพระภิกษุจากต่างประเทศมาเป็นพระอุปัชฌาย์ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอุปัชฌาย์นั้นมีความรู้เรื่องพระวินัยเพียงใด  มาจากพระสงฆ์นิกายไหน  ท่านมีมารยาทเหมาะสมหรือสมควรเพียงไร  ในการที่จะมาเป็นอุปัชฌาย์เพื่อให้เกิดปัญหาขึ้นในสังคมไทย
            ๑๒. ท่านผู้อ้างว่าเป็นภิกษุณีเหล่านั้นไปบวชมากับใครไม่รู้  แต่จะมาบังคับข่มขู่ให้คณะสงฆ์ไทยยอมรับเป็นลูก  ก็ไม่รู้ว่าไปเป็นลูกใครมาแล้วจะมาขอร้อง บังคับ ข่มขู่  หาพวกมาข่มขู่ ให้พระภิกษุสงฆ์ไทยรับเป็นลูก  มันเป็นเรื่องตลกที่หัวเราะไม่ออกจริงๆ  ไปทำโคลนที่ไหนไม่รู้แล้วมาเรียกร้องหาพ่อ
            สรุปว่าใครจะปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติไปเถอะ ไม่มีใครกีดกัน ทุกคนสามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่ อย่าไปบังคับขู่เข็ญคนอื่นเขา อย่าไปล่วงล้ำสิทธิเสรีภาพของคนอื่นเขา พระสงฆ์ท่านยอมรับในกฎเกณฑ์กติกา ยอมที่จะไม่มีครอบครัว  ยอมที่จะสละชีวิตบูชาพระธรรมวินัยอันเป็นสิ่งแทนพระบรมศาสดา มหาเถรสมาคมท่านปฏิบัติหน้าที่ของท่านถูกต้องแล้ว ส่วนว่าใครจะบูชาหลักสิทธิมนุษยชนหรือบูชารัฐธรรมนูญเป็นศาสดาก็เชิญตามอัธยาสัยเถิด[๗]   
                 
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (๒๕๕๐) กับการบวชภิกษุณี
           มาตรา ๓๗ บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนา นิกายของศาสนาหรือลัทธินิยมในทางศาสนาและย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนาธรรม ศาสนบัญญัติหรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน เมื่อไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองและไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน   การใช้เสรีภาพตามวรรคหนึ่ง บุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองมิให้รัฐกระทำการใดๆ อันเป็นการรอนสิทธิหรือเสียประโยชน์อันควรมีควรได้ เพราะเหตุที่ถือศาสนา ลัทธินิยมในทางศาสนาหรือปฏิบัติตามศาสนธรรม ศาสนบัญญัติ หรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือแตกต่างจากบุคคลอื่น
             จากการที่มหาเถรสมาคมได้มีมติรับทราบมติของคณะสงฆ์วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานีที่มีมติให้ถอดวัดโพธิญาณ เมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย ออกจากการเป็นสาขาของวัดหนองป่าพง ทั้งนี้เนื่องจากคณะสงฆ์วัดโพธิญาณ ที่มีพระวิสุทธิสังวรเถร (พระพรหมวังโส) เป็นเจ้าอาวาสได้บวชให้แก่ภิกษุณี  เมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคม ๒๕๕๒ โดยบวชสตรีชาวต่างประเทศ ๔ คน โดยมีภิกษุณีอยยา ทถาโลก เป็นพระอุปัชฌาย์ พระวิสุทธิสังวรเถร เป็นพระกรรมวาจาจารย์พระสุชาโต เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ซึ่งเป็นการกระทำเช่นนี้มหาเถรสมาคมถือว่าขัดกับระเบียบของคณะสงฆ์ไทยเพราะได้มีพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ พ.ศ. ๒๔๗๑ ห้ามภิกษุสงฆ์ในประเทศไทย อุปสมบทให้แก่สตรี คำวินิจฉัยของมหาเถรสมาคมในการประชุมครั้งที่ ๒๘/๒๕๒๗ และครั้งที่ ๑๘/๒๕๓๐ ห้ามภิกษุสงฆ์ทำพิธีอุปสมบทให้สตรีเป็นภิกษุณี และพระวรธรรมคติสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๔๔ ห้ามบวชให้แก่สตรีเพื่อเป็นภิกษุณี  กรณีเช่นนี้ ในทางกฎหมายไทยถือได้ว่าวัดดังกล่าวไม่มีต้นสังกัดดูแลและจะส่งผลให้ไม่ได้รับการดูแลจากทางสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ และมหาเถรสมาคมด้วย  อย่างไรก็ตามสถานภาพของวัดจะยังคงอยู่  เพราะได้รับการอนุญาตจากทางประเทศออสเตรเลียแล้ว แต่ประเด็นที่ตามมาจากกรณีนี้ก็นำไปสู่การถกเถียงอีกครั้งหนึ่งว่าการห้ามบวชภิกษุณีของคณะสงฆ์ไทยนั้นถูกต้องชอบธรรมแล้วหรือไม่
             เมื่อเราพิเคราะห์ถึงรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดและพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕ ไม่พบว่ามีบทบัญญัติใดที่ห้ามมิให้มีการบวชภิกษุณีแต่อย่างใดและยิ่งเมื่อพิจารณาควบคู่กับปฏิญญาสากล ข้อที่ ๑๘ ที่ว่า ทุกคนมีสิทธิ์ในการนับถือศาสนาแล้วยิ่งเห็นได้ชัดว่าสามารถกระทำได้ ฉะนั้น การที่อ้างประเด็นในข้อกฎหมายว่าการบวชภิกษุณีของไทยเรานั้นไม่สามารถทำได้จึงไม่เป็นการถูกต้อง แต่หากจะอ้างเหตุผลอื่น เช่น อ้างว่าการบวชภิกษุณีต้องบวช ๒ ครั้ง คือ บวชเป็นภิกษุณีสงฆ์ก่อน แล้วจึงบวชจากภิกษุสงฆ์อีกครั้ง แต่ภิกษุณีสงฆ์ในฝ่ายเถรวาทได้ขาดช่วงไปแล้ว เมื่อไม่มีภิกษุณีสงฆ์จึงบวชภิกษุณีไม่ได้ จึงพอรับฟังได้บ้าง แต่เมื่อพิจารณาโดยละเอียดแล้วพบว่าอันที่จริงในสมัยพระพุทธเจ้าไม่ได้มีการแบ่งแยกนิกายเป็นมหายานหรือเถรวาทแต่อย่างใด กอปรกับในศรีลังกาซึ่งเป็นเถรวาทเหมือนกับเราก็ยังคงมีภิกษุณีอยู่และมีการบวชภิกษุณีกันอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด และภิกษุณีที่เป็นคนไทยเราหลายท่านก็บวชมาจากศรีลังกานี่เอง บางท่านอาจจะโต้แย้งว่าภิกษุณีที่ศรีลังกาหมดไปแล้วมิใช่หรือนั้น สามารถอธิบายได้ว่าเมื่อ ประมาณปี พ.ศ.๙๐๐ คณะภิกษุณีสงฆ์ที่ศรีลังกา ได้ไปบวชภิกษุณีที่วัดป่าใต้ เมืองนานกิง เป็นการสืบทอดการบวช ภิกษุณีสงฆ์ จากศรีลังกาไปประเทศจีน และเมื่อประมาณปี พ.ศ.๑๕๐๐  ฝ่ายภิกษุณีสงฆ์ สูญสิ้นไปจากศรีลังกา เพราะการรุกรานของกษัตริย์ฮินดูจากอินเดียตอนใต้ ซึ่งต่อมาคณะภิกษุณีสงฆ์จากศรีลังกาก็ไปรับการบวชมาจากภิกษุณีสงฆ์จากไต้หวัน ซึ่งเป็นสายจีนที่บวชจากศรีลังกาแต่เดิมมานั่นเอง สายการบวชสายนี้จึงนับว่าเป็นสายเดียวกันโดยปริยาย
             เมื่อเราพิจารณาถึงแง่มุมทางประวัติศาสตร์พุทธศาสนาแล้วจะพบว่าในสมัยพุทธกาลนั้นไม่นิยมในการที่ผู้หญิงจะออกบวช วัฒนธรรมของอินเดียโบราณนั้นผู้หญิงจะหลุดพ้นได้เพียงอย่างเดียวก็คือการภักดีต่อสามี เพราะฉะนั้นการที่ผู้หญิงจะขอบวชในสมัยพระพุทธเจ้า พระองค์จึงจำเป็นที่จะต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ โดยทรงปฏิเสธถึงสามครั้ง ในที่สุดพระอานนท์ทูลถามว่าผู้หญิงกับผู้ชายมีศักยภาพในการเข้าถึงธรรมเช่นเดียวกันหรือไม่ พระองค์ทรงยืนยันว่า ทั้งผู้หญิงผู้ชายมีศักยภาพในการเข้าถึงธรรม และสามารถบรรลุธรรมเช่นเดียวกัน สาระข้อนี้เป็นสาระที่สำคัญยิ่งในพุทธศาสนา เพราะไม่มีศาสนาอื่นก่อนหน้านี้ที่กล้าที่จะรับรองความสามารถของหญิงชายทัดเทียมกัน ซึ่งหมายความว่า ศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาแรกในโลกที่เปิดประตูของการเข้าสู่อิสรภาพทางจิตวิญญาณว่าไม่ได้จำกัด โดยเพศ สีผิว หรือวรรณะ
             โดยก่อนหน้านี้พระพุทธเจ้าทรงยกเลิกวรรณะซึ่งเป็นโครงสร้างทางสังคมที่สำคัญของวัฒนธรรมอินเดียในศาสนาของพระองค์ไปแล้ว ทรงยกเลิกความแตกต่างทางวรรณะ ทรงยกเลิกความแตกต่างทางเชื้อชาติ สีผิวและเพศ ซึ่งเป็นจุดสำคัญของพุทธศาสนาที่ทำให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของโลก มิใช่เป็นศาสนาที่จำกัดอยู่เฉพาะในดินแดนชมพูทวีปเท่านั้น ถือได้ว่าเป็นความงดงามที่ส่งประกายทำให้พุทธศาสนาเจิดจรัสเป็นศาสนาสำคัญชองโลกศาสนาหนึ่ง      หลังจากที่พระพุทธเจ้าประทานอนุญาตให้ผู้หญิงบวชเพราะผู้หญิงสามารถบรรลุธรรมได้เช่นเดียวกับผู้ชายแล้ว พระองค์ก็ประทานโอวาทว่าพุทธศาสนานี้ต่อไปในอนาคตจะเสื่อมหรือจะเจริญขึ้นอยู่กับการดูแลและการปฏิบัติของพุทธบริษัท ๔ อันได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ทรงรับสั่งด้วยว่าต่อไปพระศาสนาจะเสื่อมเมื่อภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไม่เคารพยำเกรงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่เคารพยำเกรงในศีลและสมาธิ พุทธศาสนาที่พระองค์เรียกว่าพระสัจธรรมในต่อไปในอนาคตข้างหน้าจะเสื่อมหากพุทธบริษัท ๔ ไม่เคารพซึ่งกันและกัน
             จากพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงวางเอาไว้ดังกล่าว เมื่อพิจารณาถึงประเด็นในปัจจุบันที่เราถกเถียงกันว่าควรจะมีการห้ามบวชภิกษุณีหรือไม่นั้น จึงได้รับคำตอบว่าสมควรอย่างยิ่งที่จะให้มีภิกษุณีเกิดขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าประทานอนุญาตและไว้วางใจให้พุทธบริษัท ๔ ช่วยกันดูแลสืบสานพระพุทธศาสนา หากไร้เสียซึ่งภิกษุณี พุทธบริษัท ๔ ยังคงเป็นเพียงพุทธบริษัท ๓ เช่นในปัจจุบันแล้วไซร้พระพุทธศาสนาในประเทศไทยจะไม่เสื่อมลงได้อย่างไร ฉะนั้น การห้ามสตรีบวชภิกษุณีนอกจากจะขัดต่อเสรีภาพในการนับถือศาสนา นิกายของศาสนา หรือลัทธินิยมในทางศาสนาตามรัฐธรรมนูญแล้ว ยังเป็นการขัดต่อพุทธประสงค์ เพราะเป็นการบัญญัติสิ่งที่นอกเหนือจากที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้อีกด้วย[๘]

พระภิกษุณีสงฆ์ในประเทศไทยทางเลือกใหม่ที่เลี่ยงได้ยาก
             การเกิดขึ้นภิกษุณีสงฆ์ขึ้นในประเทศไทยดูเหมือนเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว หากเป็นเมื่อ ๗๐ ปีก่อน คงไม่สามารถพูดเช่นนี้ได้ แต่ปัจจุบันนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปจนสามารถกล่าวได้ว่าอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น  คณะสงฆ์ทุกวันนี้อ่อนแออย่างมากจนยากที่จะขัดขวางมิให้มีสามเณรีหรือภิกษุณีดังที่ได้เคยทำสำเร็จมาแล้วเมื่อปี ๒๔๗๐ ไม่ว่าคณะสงฆ์จะใช้มาตรการใดๆ มาสกัดกั้นห้ามปรามก็มิพึงหวังว่าจะได้รับความสนับสนุนจากผู้คนดังแต่ก่อน  ทุกวันนี้คณะสงฆ์ได้สูญเสียศรัทธาจากประชาชนไปมากจนยากที่จะนำประชาชนให้เห็นคล้อยตามได้ง่ายๆ มิใยต้องเอ่ยว่ากี่ครั้งกี่หนแล้วที่คณะสงฆ์ได้ทำสิ่งที่สวนทางกับความรู้สึกนึกคิดของคนในสังคม จนทำให้เกิดความระอากันไปทั่วหน้า กรณีธรรมกายเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจน ใช่แต่เท่านั้น การที่คณะสงฆ์จะยืมมือรัฐมาจัดการกับผู้ที่บวชเป็นสามเณรีหรือภิกษุณี ดังเมื่อ ๗๐ ปีก่อนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ไม่มีรัฐบาลใดในเวลานี้ที่สนใจหรืออยากจะมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องศาสนาและพระสงฆ์ ตราบใดที่ไม่มากระทบกับความมั่นคงของรัฐและรัฐบาล ยิ่งเป็นประเด็นที่มีคนเห็นด้วยและสนับสนุนเป็นจำนวนมากด้วยแล้ว ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับรัฐบาลคือให้คณะสงฆ์จัดการแก้ปัญหาเอาเอง และก็เป็นที่คาดเดาได้ไม่ยากว่าหากมหาเถรสมาคมไม่นิ่งเงียบอยู่เฉยๆ ดังที่มักทำเป็นอาจิณ สิ่งที่ทำได้อย่างมากคือ มีมติและออกคำสั่งที่ไร้ผลในทางปฏิบัติ แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาไม่ใช่สาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้ภิกษุณีสงฆ์เกิดขึ้นได้ในประเทศไทย สาเหตุสำคัญเหนืออื่นใดก็คือ การสนับสนุนของผู้คนในสังคมที่อยากเห็นภิกษุณีเกิดขึ้น นี้เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่เป็นตัวชี้ขาดว่าภิกษุณีสงฆ์จะเกิดขึ้นได้ในเมืองไทยหรือไม่ ถึงแม้คณะสงฆ์และรัฐบาลจะไม่ยอมรับว่ามีสามเณรีหรือภิกษุณี แต่ถ้าประชาชนให้ความเคารพนับถือ สามเณรีหรือภิกษุณีก็เกิดขึ้นแล้วในความรู้สึกนึกคิดของประชาชน ไม่ว่าจะเรียกด้วยชื่ออะไรก็ตาม  ความเป็นพระนั้นไม่ได้ถูกกำหนดด้วยกฎหมายหรือการรับรองของรัฐและคณะสงฆ์เท่านั้น  หากยังขึ้นอยู่กับธรรมวินัยและการยอมรับของประชาชนด้วย  ถึงจะเป็นพระที่ถูกต้องตามกฎหมาย (เช่น บวชถูกต้องตามระเบียบคณะสงฆ์และยังไม่ถูกจับสึกเพราะต้องปาราชิก) แต่ถ้าได้ต้องปาราชิกแล้ว และญาติโยมไม่นับถือว่าเป็นพระ ตามพระธรรมวินัยก็ไม่ถือว่าเป็นพระแล้ว ขณะเดียวกันก็มิใช่พระในความรู้สึกนึกคิดของชาวบ้านด้วยเช่นกัน ในอีกด้านหนึ่ง ถึงแม้จะไม่ได้เป็นพระตามที่กฎหมายรับรอง (เช่น ไม่ได้บวชกับอุปัชฌาย์ที่รัฐและคณะสงฆ์รับรอง) แต่บวชและประพฤติตนถูกต้องตามพระธรรมวินัย อีกทั้งประชาชนยอมรับก็ถือว่าเป็นพระวันยังค่ำ (ดังที่คนไทยมักให้ความเคารพแก่พระนิกายอื่นซึ่งบวชจากต่างประเทศดุจเดียวกับพระไทย)
             คนไทยที่อยากเห็นภิกษุณีสงฆ์เกิดขึ้นในเมืองไทยนับวันจะมีมากขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะว่าภิกษุณีสงฆ์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเผยแผ่ธรรมและส่งเสริมการปฏิบัติ  โดยเฉพาะในหมู่ผู้หญิง ความจำเป็นดังกล่าวปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้นเมื่อพบว่าในระยะหลังมีผู้หญิงเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้สนใจแค่การทำบุญ (ให้ทาน) เท่านั้น หากยังสนใจการทำสมาธิวิปัสสนาและการศึกษาธรรมเพื่อนำมาใช้แก้ปัญหาชีวิต กลุ่มคนที่เข้าวัดเพื่อปฏิบัติธรรมดังกล่าวบ่อยครั้งจะพบว่ามีข้อจำกัดในการฝึกฝนเรียนรู้กับพระ เงื่อนไขทางพระวินัยเป็นเพียงสาเหตุหนึ่งเท่านั้นที่สำคัญไม่น้อยก็คือภูมิหลังและประสบการณ์อันเนื่องจากความแตกต่างระหว่างเพศ ซึ่งทำให้พระมีข้อจำกัดในการชี้แนะแก้ปัญหาของโยมผู้หญิงได้ตรงจุด ใช่แต่เท่านั้นพระที่มีความสามารถในการสอนธรรมให้แก่ผู้หญิงหรือคนทั่วไปก็มีอยู่น้อยเมื่อเทียบกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นทุกที      ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่ระยะหลังมีผู้หญิงจำนวนมากขึ้นที่หันมาฝึกฝนปฏิบัติธรรมกับผู้หญิงด้วยกัน สำนักปฏิบัติธรรมที่มีผู้หญิงเป็นเจ้าสำนักหรือหลักสูตรการปฏิบัติธรรมที่มีผู้หญิงเป็นครูบาอาจารย์ ผุดขึ้นไปทั่ว ขณะเดียวกันการที่มีผู้หญิงเป็นครูบาอาจารย์ทางพระพุทธศาสนากันมากขึ้น ทั้งที่เป็นฆราวาสและนักบวช (แม่ชี) ก็เป็นเครื่องชี้ถึงความรู้และความสามารถของผู้หญิงที่เพิ่มมากขึ้น อันเป็นผลจากการมีโอกาสได้รับการศึกษามากขึ้น ผิดกับแต่ก่อนที่ผู้หญิงถูกปิดโอกาส ในอดีตจึงมีบทบาทเพียงแค่เป็นโยมอุปัฏฐาก
    อย่างไรก็ตามศักยภาพของผู้หญิงในการศึกษาและเผยแผ่ธรรมยังมีมากกว่านี้ ชีวิตอย่างคฤหัสถ์หรือแม้แต่แม่ชียังเป็นเงื่อนไขอันจำกัดในการพัฒนาศักยภาพดังกล่าว สิ่งที่จะเพิ่มพูนศักยภาพให้มากขึ้นก็คือชุมชนและวิถีชีวิตอย่างพระ นี้เป็นสาเหตุที่พระพุทธองค์ทรงตั้งชุมชนของพระที่เรียกว่า "สงฆ์" ขึ้นมา โดยมีระบบชุมชนและระเบียบชีวิตที่เรียกว่า "วินัย" ซึ่งเอื้อต่อการฝึกฝนพัฒนาตนและการเผยแผ่ธรรม จริงอยู่การปฏิบัติธรรมนั้นจะอยู่ในสถานะไหนก็ทำได้ทั้งนั้นไม่จำเป็นต้องบวชพระ แต่พระพุทธองค์ทรงตระหนักดีว่าการฝึกฝนพัฒนาตนนั้น ลำพังปัจจัยภายในเช่นความตั้งใจอย่างเดียวยังไม่พอ ควรอาศัยปัจจัยภายนอกหรือสภาพแวดล้อมมาช่วยด้วยเพื่อให้ศักยภาพหรือผู้รับใช้พระเท่านั้นได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ จนไม่เพียงแต่บรรลุประโยชน์ตนเท่านั้น หากยังสามารถบำเพ็ญประโยชน์ท่านได้ด้วย นี้คือเหตุผลที่ทรงเชิญชวนให้คฤหัสถ์ที่บรรลุธรรมถึงขั้นอรหัตผล มาบวชเป็นภิกษุและร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสงฆ์ ทั้งๆ ที่ท่านเหล่านั้นหมดกิจที่จะต้องฝึกฝนตนเองแล้วเป็นเวลาช้านานแล้วที่ผู้ชายมีชุมชนสงฆ์รองรับเพื่อฝึกฝนพัฒนาตนได้อย่างเต็มที่ ถึงเวลาแล้วที่ผู้หญิงพึงได้รับโอกาสดังกล่าวด้วยเช่นกัน  พึงตระหนักว่าการเปิดโอกาสหรือส่งเสริมให้มีภิกษุณีสงฆ์เกิดขึ้นในเมืองไทยนั้น  ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ความเสมอภาคทางด้านสิทธิระหว่างเพศหรือการยกสถานะของผู้หญิงให้เท่าเทียมชาย หากอยู่ที่การส่งเสริมให้ผู้หญิงมีโอกาสได้รับการฝึกฝนพัฒนาตนอย่างเต็มที่ เพื่อความเจริญงอกงามแห่งธรรม ตราบใดที่ยังมองไม่เห็นจุดนี้ แต่ไปเข้าใจว่านี้เป็นเรื่องการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของผู้หญิง ภิกษุณีสงฆ์ก็จะกลายเป็นประเด็นที่สร้างความเข้าใจผิดได้มาก นิมิตดีสำหรับวงการพุทธศาสนาก็คือ บัดนี้ภิกษุณีสงฆ์ได้เกิดขึ้นแล้วในประเทศศรีลังกา และนับวันจะตั้งมั่นแม้จะถูกต่อต้านคัดค้านจากพระผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อย แต่ก็ไม่สามารถขัดขวางได้เนื่องจากภิกษุณีสงฆ์ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมาก โดยมีพระผู้ใหญ่ให้การช่วยเหลือด้วย จนบัดนี้มีภิกษุณีแล้วกว่า ๒๐๐ รูป ไม่มีใครในศรีลังกาที่คัดค้านภิกษุณีด้วยเหตุผลง่ายๆ (ซึ่งมักได้ยินในเมืองไทย)ว่า มาบวชเพราะอกหัก ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะแม่ชีที่นั่น ("ทศศีลมาตา" ถือศีลสิบ) เป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของผู้คนว่าเป็นผู้มีศีลาจารวัตรงดงาม มีความรู้ดีทางพุทธศาสนา อีกทั้งอุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนา จนมีสถานภาพแทบไม่ต่างจากพระ  ดังนั้น เมื่อมาบวชเป็นสามเณรีและภิกษุณี จึงเป็นที่ยอมรับของสังคมได้ง่าย
             กระนั้นก็ตามมีเหตุผลหนึ่งที่มักอ้างกันและน่ารับฟังก็คือ ภิกษุณีสงฆ์ได้ขาดสายไปนานแล้ว จึงไม่สามารถที่จะบวชภิกษุณีให้ถูกต้องตามพระวินัยได้ เนื่องจากในการบวชภิกษุณีนั้นจะต้องมีสงฆ์ทั้งสองฝ่ายคือภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์รับรอง เมื่อสงฆ์ไม่ครบจึงไม่สามารถบวชภิกษุณีได้ แต่ทางออกของฝ่ายสนับสนุนภิกษุณีในศรีลังกาก็คือ การอาศัยภิกษุณีสงฆ์ที่ไต้หวันมาทำพิธีอุปสมบทตามแบบเถรวาทเมื่อปี ๒๕๔๑ โดยบวชท่ามกลางภิกษุสงฆ์ทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายานอีกชั้นหนึ่งด้วย แม้จะมีข้อโต้แย้งว่าภิกษุณีสงฆ์มหายานสามารถบวชภิกษุณีเถรวาทได้หรือ แต่ข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ก็คือ เมื่อสืบสายไปให้ถึงที่สุดแล้วภิกษุณีมหายานก็ถือกำเนิดมาจากภิกษุณีเถรวาทนั่นเอง ดังมีหลักฐานว่ามีภิกษุณีสงฆ์จากลังกาไปบวชภิกษุณีในจีนเมื่อพุทธศตวรรษที่ ๑๐ และนับแต่นั้นก็มีการสืบต่อไม่ขาดสายจนถึงปัจจุบัน ใช่แต่เท่านั้นวินัยปาฏิโมกข์ของภิกษุณีมหายานก็แทบไม่ผิดแผกจากของเถรวาทเลย กล่าวคือแตกต่างตรงที่ข้อปลีกย่อยและจำนวนสิกขาบท (ของมหายานมีมากกว่าประมาณ ๑๒ ข้อ)
             ประเด็นเรื่องพระวินัยนั้นเป็นเรื่องที่ยังถกเถียงกันได้มาก  แต่การพิจารณาเรื่องภิกษุณีสงฆ์ หาควรไม่ที่จะเริ่มต้นด้วยประเด็นพระวินัย ข้อที่ควรพิจารณาเป็นประการแรกสุดก็คือ ควรหรือไม่ที่จะมีภิกษุณีสงฆ์ในเมืองไทย ทั้งนี้โดยคำนึงถึงประโยชน์อันเกิดแก่พระศาสนาและสังคมไทยเป็นสำคัญ และไม่ควรนำเอาอคติส่วนตัวมาเป็นอารมณ์ (ซึ่งรวมไปถึงการทำใจไม่ได้หากผู้หญิงจะมาเป็นพระ หรือทนไม่ได้ที่ผู้ชายจะไหว้ผู้หญิง) ต่อเมื่อเห็นว่าควรมีภิกษุณีสงฆ์ในเมืองไทย จึงค่อยพิจารณาถึงพระวินัยว่าเอื้ออำนวยหรือเปิดช่องให้มีการบวชภิกษุณีในปัจจุบันได้หรือไม่ นั่นหมายความว่าหากสรุปว่าควรมีภิกษุณีก็น่าจะต้องมีการตีความพระวินัยใหม่ให้เอี้อต่อการบวชภิกษุณี ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องคิดค้นรูปแบบใหม่สำหรับนักบวชหญิง ซึ่งก็คือภิกษุณีในชื่อใหม่นั่นเอง โดยที่ยังคงปฏิบัติตามวินัยปาฏิโมกข์ของภิกษุณีที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติ  สามเณรีธัมมนันทาคือ จุดเริ่มต้นของการสถาปนาภิกษุณีสงฆ์ขึ้นในเมืองไทย แม้ปัจจุบันมีหญิงไทยบางคนที่บวชเป็นภิกษุณีแล้ว แต่ก็ยังไม่ครบองค์สงฆ์ ความรู้ ความสามารถและการอุทิศตนเพื่อพระศาสนาของสามเณรีและภิกษุณีไทยในปัจจุบันและที่จะตามมาในอนาคตเป็นตัวกำหนดสำคัญที่สุดว่าสังคมไทยจะยอมรับภิกษุณีสงฆ์หรือไม่ หากสังคมไทยยอมรับและสนับสนุน ไม่ว่ารัฐและคณะสงฆ์ก็ไม่อาจขัดขวางได้[๙]

พุทธศาสนากับแนวคิดเกี่ยวกับภิกษุณี      
             ปัจจุบันที่กำลังมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสูงในสังคมชาวพุทธถึงการออกบวชของสตรีเพื่อเป็นภิกษุณี  ผู้ศรัทธาออกบวช ในฝ่ายเถรวาทนิยมโกนหัวนุ่งขาว ห่มขาว ถือศีลอุโบสถ บวชเป็นแม่ชี แทนภิกษุณีไม่เหมือนกับแม่ชี  เพราะแม่ชีเป็นเพียงอุบาสิกา (พุทธศาสนิกชนผู้หญิง) ซึ่งถือศีล ๘ ข้อ อย่างชาวพุทธทั่วไปที่เคร่งครัด ปัจจุบันในฝ่ายคณะสงฆ์เถรวาทนับถือกันโดยพฤตินัยว่าการบวชเป็นแม่ชีที่โกนศีรษะนุ่งขาวห่มขาว ถือศีล ๘ เป็นการผ่อนผันผู้หญิงที่ศรัทธาจะออกบวชเป็นภิกษุณีเถรวาท แต่ไม่สามารถอุปสมบทเป็นภิกษุณีเถรวาทได้  โดยจะให้ถือปฏิบัติศีล ๘ (อุโบสถศีล) แทน ก่อนที่ภิกษุณีสงฆ์จะหมดไปจากอินเดียนั้น พระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งพระธรรมทูตออกไป ๙ สาย สายที่ ๙ ส่งพระมหินทรเถระไปศรีลังกา การเผยแพร่ศาสนาพุทธประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง
พระนางอนุลา น้องสะใภ้ของ
กษัตริย์ศรีลังกา ทรงอยากผนวช จึงนิมนต์พระนางสังฆมิตตาเถรี พระธิดาของพระเจ้าอโศกมาเป็นปวัตตินีให้ ("ปวัตตินี" คือ พระอุปัชฌาย์ที่เป็นผู้หญิง) จากศรีลังกาภิกษุณีสงฆ์ได้ไปสืบสายไว้ในจีน ไต้หวัน และสถานที่อื่นๆ จนกระทั่งพุทธศาสนาที่อินเดียและศรีลังกาเสื่อมลงลงไปในช่วงหลัง ทำให้ภิกษุณีฝ่ายเถรวาทซึ่งมีศีล และข้อปฏิบัติที่ยุ่งยากไม่สามารถรักษาวงศ์ของภิกษุณีเถรวาทไว้ได้ จึงทำให้ไม่มีผู้สืบทอดการบวชเป็นภิกษุณีสามเถรวาทในปัจจุบัน
             ภิกษุณีในสายเถรวาทปัจจุบันสืบวงศ์มาแต่สมัยพุทธกาลด้วยการบวชถูกต้องตามพระวินัยปิฎกเถรวาท จากสงฆ์ทั้งสองฝ่าย (ภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์) ขาดสูญวงศ์ (ไม่มีผู้สืบต่อ) คงเหลือแต่ภิกษุณีฝ่ายมหายาน (อาจริยวาท) ที่ยังสืบทอดการบวชภิกษุณีมาจนปัจจุบัน ซึ่งในปัจจุบันไม่ปรากฏว่ามีภิกษุณีเถรวาทในประเทศไทย แต่ยังมีพบอยู่ในจีน (มหายาน) และศรีลังกา (เถรวาท ซึ่งรับการบวชกลับมาจากภิกษุณีมหายานของจีน) และในปัจจุบันได้มีการพยายามรื้อฟื้นภิกษุณีในฝ่ายของเถรวาท  โดยได้ทำการบวชมาจากภิกษุณีมหายาน และกล่าวว่าภิกษุณีฝ่ายมหายานนั้นก็ได้สืบวงศ์ภิกษุณีสงฆ์มาจากฝ่ายเถรวาทเช่นกัน  แต่สำหรับในกรณีนี้เคยมีประเด็นถกเถียงอยู่ช่วงหนึ่งว่าปัจจุบันนี้สามารถบวชภิกษุณีได้หรือไม่  โดยมีข้อสรุปจากทางพระสงฆ์ฝ่ายเถรวาทว่าพระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้มีการบวชเป็นภิกษุณีได้ก็ต่อเมื่อบวชต่อสงฆ์ทั้ง ๒ ฝ่าย คือ ต้องบวชทั้งฝ่ายพระภิกษุสงฆ์และฝ่ายภิกษุณีสงฆ์เป็นการลงญัตติจตุตถกรรมวาจาทั้งสองฝ่าย จึงจะสามารถเป็นภิกษุณีได้ ดังนั้นในเมื่อภิกษุณีสงฆ์เถรวาทได้เสื่อมสิ้นลงไม่มีผู้สืบต่อ จึงทำให้ในปัจจุบันไม่สามารถทำการบวชผู้หญิงเป็นภิกษุณีฝ่ายเถรวาทได้  การที่มีข้ออ้างว่าสายมหายานสืบสายวงศ์ภิกษุณีสงฆ์ไปก็ไม่สามารถอ้างได้  เพราะการสืบสายทางมหายานมีข้อวินัยและการทำสังฆกรรมบวชภิกษุณีที่ไม่ถูกต้องกับพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาท ปัจจุบันศรีลังกาพยายามฟื้นฟูภิกษุณีสงฆ์ จนมีหลายร้อยรูป ประเทศไทยก็มีคนบวชเป็นภิกษุณีหลายรูปแล้วเช่นกันแต่คณะสงฆ์ไทยไม่ยอมรับเป็นภิกษุณีสงฆ์
            การบวชภิกษุณีสายเถรวาทในประเทศไทย  แม้จะได้รับการสนับสนุนจากพระภิกษุส่วนหนึ่งและจากฆราวาส  แต่ก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับจากคณะสงฆ์เนื่องจากมีกฎบังคับห้ามภิกษุบวชหญิงเป็นภิกษุณี  ทำให้สามเณรีซึ่งผ่านการฝึกฝนอบรม (สิกขมานา) สองปีที่ต้องการบวชเป็นภิกษุณี ต้องไปรับการบวชที่ต่างประเทศ เช่น ศรีลังกา ไต้หวัน เป็นต้น หรือไม่ก็ต้องนิมนต์พระภิกษุจากต่างประเทศมาร่วมให้การอุปสมบท  อีกทั้งยังมีฐานะเป็นเพียงอุบาสิกาเท่านั้น การคัดค้านการบวชภิกษุณีจากฝ่ายเถรวาท  อ้างจากพุทธทำนายที่ว่าการรับมาตุคามเข้ามาบวชจะทำให้อายุพระสัทธรรมสั้นลงเหลือ ๕๐๐ ปี แทนที่จะเป็น ๑,๐๐๐ ปีตามที่ควรจะเป็น การรื้อฟื้นการบวชภิกษุณีสงฆ์ จึงเป็นการขัดพระวินัยและเป็นภัยต่อความยั่งยืนของพระศาสนาหากปัจจุบันอายุพระศาสนายืนมากว่า ๒๕๐๐ ปีแล้ว การยกพุทธพยากรณ์นี้มาคัดค้านก็ดูจะไม่สมเหตุผล อีกคำค้านของฝ่ายเถรวาทคือ การบวชภิกษุณีต้องประกอบด้วยสงฆ์สองฝ่าย  เมื่อภิกษุณีสูญหายไปจากโลกในช่วงเวลาหนึ่งแล้ว จึงไม่สามารถมีการบวชเกิดขึ้นได้อีก ผู้สนับสนุนการบวชได้ให้เหตุผลว่าเริ่มแรกนั้นพระพุทธองค์ให้ภิกษุสงฆ์บวชให้ภิกษุณี ต่อมาจึงทรงให้ภิกษุณีรับการบวชโดยสงฆ์สองฝ่าย แต่ก็ไม่ได้ทรงยกเลิกบัญญัติแรก  ดังนั้น การที่ภิกษุฝ่ายเดียวจะให้การบวชหญิงเป็นภิกษุณี จึงเป็นไปได้ ดังที่ภิกษุสงฆ์สายมหายานได้กระทำ จนสถาบันภิกษุณีสงฆ์ได้ตั้งมั่นในต่างประเทศดังกล่าว ซึ่งเหตุผลหลักของการคัดค้าน ส่วนหนึ่งมาจากการกีดกันทางเพศ หญิงถูกวางในสถานะที่ต่ำกว่าชายมานาน หากจะให้คลี่คลาย คงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก ท่านธัมมนันทาได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอนุญาตให้ผู้หญิงบวช เพราะผู้หญิงและผู้ชายมีศักยภาพในการบรรลุธรรมเสมอกัน พระศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เปิดโอกาสให้สตรีมากกว่าศาสนาใดๆ ในโลก จุดนี้จึงเป็นความงดงามของศาสนาพุทธ ใครก็ตามที่เห็นขัดแย้งกับความคิดนี้ก็เท่ากับกำลังพยายามทำให้พุทธศาสนาด้อยคุณค่าลงไป พระพุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาแรกในโลกที่ประกาศความเป็นอิสระของชนชั้น สีผิว และเพศ  โดยที่ไม่มีศาสนาใดสามารถจะประกาศสัจธรรมนี้ได้เด่นชัดเทียบเท่า แต่แล้วสิ่งที่พยายามทำกันในสังคมของชาวพุทธสมัยนี้กลับมากดขี่ผู้หญิงด้วยการไม่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้ร่วมแสดงธรรม และร่วมรับผิดชอบต่อพระพุทธศาสนาในฐานะเป็นหนึ่งในพุทธบริษัท ๔ อาตมา จึงมองว่านี่เป็นการทำให้พุทธศาสนาถูกลดคุณค่าลงกว่าที่พึงจะเป็น
            ปัจจุบันมีผู้หญิงหลายคนที่โลกยอมรับในความสามารถ แม้ในหน่วยย่อยที่สุดของสังคม หญิงยังเคียงบ่าเคียงไหล่ชายในการร่วมกันรับผิดชอบภาระของครอบครัว  ความเสมอภาคทางเพศได้รับการยอมรับมากขึ้น  เมื่อสังคมโลกได้เปลี่ยนไปแล้วคงถึงเวลาที่สังคมทางศาสนาจะต้องเปลี่ยนแปลงบ้าง  พระโพธิมหาเถระได้สนับสนุนการดำรงอยู่อย่างถูกต้องของภิกษุณีไว้อย่างน่าประทับใจว่าการรื้อฟื้นภิกษุณีสงฆ์ เป็นความดีงามจากภายในที่สอดรับกับนัยยะของพระธรรม นำมาซึ่งการทำให้พระประสงค์ของพระพุทธองค์ในการ เปิดประตูสู่ความเป็นอมตะให้แก่มนุษยชาติ หมายรวมผู้หญิงและผู้ชายด้วยเช่นกัน  ในขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาในแง่มุมของความเข้าใจในสังคมปัจจุบัน การมีอยู่ของภิกษุณีสงฆ์เป็นเครื่องมือที่จะใช้ได้ดีอย่างยิ่งในสังคม จะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้ามารับใช้พระศาสนาหลากหลายกว่าที่ภิกษุสงฆ์จะทำได้ ทั้งหน้าที่การสอน นักวิชาการ ผู้สอนสมาธิ นักการศึกษา ผู้แนะนำทางสังคม ผู้นำทางพิธีกรรม และบางที งานที่เป็นเอกลักษณ์ของภิกษุณี คือการเป็นผู้นำให้ฝ่ายสตรีด้วยกันเอง  การมีภิกษุณีสงฆ์จะปักธงชัยให้แก่พุทธศาสนาโดยการยอมรับจากผู้คนชาวโลกที่มีจิตใจอันสูงส่ง ผู้ซึ่งถือว่าศาสนาที่ปราศจากการกีดกันทางเพศนั้นเป็นหมายสำคัญว่าศาสนานั้น กลมกลืนกับคุณสมบัติของอารยธรรมที่มีในโลกปัจจุบัน[๑๐]

ภิกษุณีกับบทสรุปสำหรับสังคมไทย
  ทางออกสำหรับสตรีไทยผู้มีความพอใจในการอุปสมบทภิกษุณี
  ๑. ถ้าสตรีไทยมีฉันทะในการอุปสมบทก็ต้องขวนขวายแสวงหาการอุปสมบทจากคณะสงฆ์อื่น เนื่องจากคณะสงฆ์ไทยมีมติว่าห้ามภิกษุสามเณรบวชภิกษุณี ซึ่งมตินี้เป็นสิทธิโดยชอบของคณะสงฆ์ไทยโดยที่ผู้ใดจะล่วงละเมิดสิทธิของคณะสงฆ์ซึ่งได้รับการสืบทอดมาโดยตรงจากพระพุทธองค์ มิได้เป็นอันขาด
  ๒. การที่คณะสงฆ์ลังกาให้การอุปสมบทแก่ภิกษุณีนั้นเป็นการกระทำที่ไม่ขัดต่อพระธรรม วินัย  อีกทั้งยังมิได้ล่วงละเมิดมติของพระอรหันตเถระเมื่อครั้งปฐมสังคายนาที่ว่า จะไม่เพิกถอนหรือเพิ่มเติมพระธรรมวินัยซึ่งนี้ก็เป็นสิทธิอับชอบธรรมของคณะสงฆ์ลังกาที่ผู้อื่นก็มิอาจล่วงละเมิดได้ เช่นกัน
   ๓. สตรีไทยผู้มี ฉันทะในการอุปสมบท จึงต้องขวนขวายในการขออุปสมบทเป็นภิกษุณี  จากคณะสงฆ์ลังกา ด้วยวิธี ญัตติจตุตถกัมอุปสัมปทาคือการอุปสมบทจากภิกษุสงฆ์ฝ่ายเดียว
ซึ่งสามารถนับได้ว่าเป็นภิกษุณีที่ถูกต้องสมบูรณ์ตรงตามพุทธบัญญัติทุกประการทั้งนี้สตรีไทยผู้มี
ฉันทะในการอุปสมบทย่อมไม่จำเป็นต้องสืบประวัติเชื้อสาย ภิกษุณีสงฆ์ให้ยุ่งยากเพราะถ้าไม่ มีภิกษุณีสงฆ์และนั้นก็มิใช่สาระสำคัญอะไรเลยแม้แต่น้อย  สาระสำคัญของเรื่องนี้คือ ถ้ายังมีภิกษุณี สงฆ์ตั้งมั่นอยู่จริงสตรีนั้นก็สามารถอุปสมบทด้วยวิธี อัฏฐวาจิกาอุปสัมปทาคือ อุปสมบทด้วยสงฆ์ ๒ ฝ่าย  ตรงตามพุทธบัญญัติแต่ถ้าภิกษุณีสงฆ์ไม่มีอยู่หรือเสมือนว่าไม่มีอยู่  ในกรณีนี้สตรีไทยผู้มี ฉันทะในการอุปสมบทย่อมสามารถอุปสมบทด้วยวิธี ญัตติจตุตถกัมอุปสัมปทาโดยภิกษุสงฆ์ฝ่ายเดียวได้  ซึ่งก็ไม่ผิดพุทธบัญญัติเช่นกัน ดังกรณีของเหล่าศากิยนารีประมาณ ๕๐๐ นั้นเป็นตัวอย่าง
  ๔. หากผู้ใดกล่าวว่าพุทธานุญาตที่ให้ ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทภิกษุณีนั้นใช้ไม่ได้ก็ต้องถามกลับคืนไปว่าพระพุทธองค์ได้ทรงเพิกถอนพุทธานุญาตนี้เมื่อใดและมีหลักฐานปรากฏอยู่ที่ใดหรือไม่และที่สำคัญก็คือชาวพุทธเถรวาทสามารถเพิกถอนพุทธานุญาตนี้ได้เองหรือไม่
  ๕. เมื่อใดก็ตามที่ปรากฏว่าภิกษุณีสงฆ์สามารถตั้งมั่นได้ในประเทศไทยแล้วเมื่อนั้นครุธรรม ๘ ประการ  ข้อที่ ๖ ก็ย่อมมีผลบังคับใช้กับภิกษุณีในประเทศไทยโดยอัตโนมัติ  ถัดจากนี้ไปสตรีไทยผู้มี ฉันทะในการอุปสมบทก็ต้องอุปสมบทภิกษุณีด้วยวิธี อัฏฐวาจิกาอุปสัมปทาหรือ ทูเตนะอุปสัมปทาอย่างใดอย่างหนึ่ง
  ๖. แต่ถ้าหลังจากนั้นกลับปรากฏว่าภิกษุณีสงฆ์หมดไปจากประเทศอีกครั้ง  สตรีไทยผู้มี ฉันทะในการอุปสมบทก็เพียงแต่กลับไปขออุปสมบทภิกษุณีจากคณะสงฆ์ลังกา ด้วยวิธี ญัตติจตุตถกัมอุปสัมปทาจากสงฆ์เพียงฝ่ายเดียวอีกครั้งเท่านั้นเอง มิจำเป็นจะต้องไปจับจดอยู่กับการสืบสาวเชื้อสายของภิกษุณีสงฆ์แต่อย่างใดทั้งสิ้นและทั้งหมดนี้ก็คือกระบวนวิธีในการอุปสมบทภิกษุณีที่ถูกต้องตรงตามพุทธบัญญัติและมติของพระอรหันตเถระ  เมื่อครั้งปฐมสังคายนาทุกประการ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าชาวพุทธเถรวาททั้งหลายจะสามารถพิจารณาตามกฎเกณฑ์และหลักการที่ถูกต้องชอบธรรมด้วยสติปัญญาอย่างรอบคอบและสร้างสรรค์
  ปัญหาข้อขัดข้องเล็กน้อยบางประการเกี่ยวกับภิกษุณีในประเทศไทยขณะนี้คือยังมิได้มีการ แก้ไขข้อกฎหมายเพื่อรับรองสถานะนักบวช  ซึ่งทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้คือเป็นการสมควร อย่างยิ่งที่คณะสงฆ์จะร่วมมือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดดำเนินการแก้ไขกฎหมายพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์  เพื่อรับรองสถานภาพภิกษุณีที่ได้รับการอุปสมบทจากศรีลังกาเหล่านี้ ในฐานะนักบวชคณะ สงฆ์อื่น เช่น  เรียกว่า “คณะสงฆ์ลังกา” หรือเหมือนที่ใช้กับภิกษุจีนนิกายและภิกษุอนัมนิกาย  เพราะ ถ้าแก้ไขข้อกฎหมายโดยเพิ่มเติมข้อความ ดังนี้
  ๑. พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ก็จะไม่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
  ๒. คณะสงฆ์ไทยก็จะไม่สูญเสียจุดยืนทางพระธรรมวินัยที่จะไม่อุปสมบทภิกษุณี  เพราะนี่ ไม่ได้เป็นการรับภิกษุณีเหล่านี้เข้าไว้ในคณะสงฆ์ไทยเป็นแต่ให้สังกัดอยู่ในคณะสงฆ์อื่น  ตามชื่อคณะสงฆ์ผู้ให้การอุปสมบทแก่ภิกษุเหล่านั้น  จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความเมตตาจากคณะสงฆ์ไทย ตามสมควร[๑๑]

สรุป
             ภิกษุณีเป็นคำเรียกนักบวชผู้หญิงในพระพุทธศาสนา พระนางประชาบดีโคตรมีเถรีเป็น
พระภิกษุณีรูปแรกที่บวชโดยวิธีรับครุธรรม ๘ ประการ  ต่อมาภายหลังพระพุทธองค์ทรงอนุญาตวิธีอุปสมบทภิกษุณีด้วยสงฆ์ ๒ ฝ่าย เนื่องจากในสมัยพุทธกาลไม่เคยมีศาสนาใดที่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้ามาบวช การตั้งภิกษุณีสงฆ์ควบคู่กับพระภิกษุสงฆ์อาจเกิดข้อครหาที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อการประพฤติพรหมจรรย์และพระพุทธศาสนาได้ หากบุคคลที่เข้ามาไม่มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนา
  จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไม่เคยปรากฏภิกษุณีสงฆ์ขึ้นในประเทศไทย ซึ่งคณะสงฆ์ได้ผ่อนผันผู้หญิงที่มีศรัทธาจะบวชเป็นภิกษุณีฝ่ายเถรวาท โดยการ “บวชชี” เนื่องจากภิกษุณีสายเถรวาทที่สืบวงศ์มาแต่สมัยพุทธกาลที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยของเถรวาทนั้นได้ขาดสูญวงศ์มานานแล้วคงมีแต่ฝ่ายมหายาน ปัจจุบันมีการพยายามรื้อฟื้นการบวชภิกษุณีฝ่ายเถรวาท  โดยการบวชมาจากภิกษุณีฝ่ายมหายานและกล่าวอ้างว่าภิกษุณีฝ่ายมหายานสืบวงศ์มาจากภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายเถรวาทเช่นกัน แต่คณะสงฆ์ฝ่ายเถรวาทกล่าวว่าการบวชภิกษุณีไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยของเถรวาทและมีศีลต่างกัน  จึงทำให้มีการยกประเด็นปัญหาภิกษุณีเป็นข้ออ้างว่าพระพุทธศาสนากำกัดสิทธิสตรี ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
             พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาตให้มีภิกษุณี เพราะเห็นว่าจะทำให้อายุของพระพุทธศาสนาไม่ยั่งยืน ต่อมาพระนางปชาบดีโคตรมีมีศรัทธาอยากบวช พระอานนท์ทูลขอให้พระพุทธองค์อนุญาต โดยที่มีเงื่อนไงว่าพระนางมหาปชาบดีโคตรมีจะต้องรับครุธรรม ๘ ประการหรือบวชโดยวิธีรับครุธรรม ๘ ประการ และทรงอนุญาตให้ผู้หญิงที่มีศรัทธาจะบวชเป็นภิกษุณีจะต้องบวชเป็นสามเณรีถือศีล ๖ ข้อ เป็นเวลา ๒ ปี แล้วบวชเป็นภิกษุณี  โดยการอุปสมบทในฝ่ายภิกษุณีสงฆ์ก่อนแล้วเข้าพิธีอุปสมบทในฝ่ายภิกษุสงฆ์ เมื่อพระพุทธศาสนาเผยแผ่เข้าสู่ประเทศศรีลังกา  พระเจ้าอโศกมหาราชทรงนิมนต์พระนางสังฆมิตตาเถรีเป็นพระอุปัชฌาย์ไปบวชพระนางอนุลา ต่อมาก็มีการบวชภิกษุณีในประเทศจีน ใต้หวัน และหลายประเทศ จนกระทั่งพระพุทธศาสนาที่อินเดียและศรีลังกาเสื่อมลง จึงทำให้ภิกษุณีฝ่ายเถรวาทขาดผู้สืบทอดการบวช  การที่มีผู้หญิงจำนวนหนึ่งมีศรัทธาต้องการบวชเป็นภิกษุณีในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท และมีพระสงฆ์ชาวลังกาบางรูปบางวัดหรือบางสำนักอนุญาตให้มีการอุปสมบทภิกษุณีขึ้นในวัดของตน จึงทำให้มีผู้หญิงบางคนได้เข้าอุปสมบทเป็นภิกษุณีดังกล่าว จึงได้มีการเรียกร้องให้คณะสงฆ์ไทยยอมรับการอุปสมบทภิกษุณีขึ้นมาในประเทศไทย คณะสงฆ์ไทยฝ่ายเถรวาทไม่อนุญาตให้ผู้หญิงบวชเป็นภิกษุณีนั้น เพราะเงือนไขของพระพุทธศาสนาเถรวาทที่วางไว้มาแต่เดิม จึงไม่ใช่เป็นเรื่องความเห็นแก่ตัวหรืออคติ ดังนี้
             ๑. พระพุทธศาสนาฝายเถรวาทถือมติการสังคายนาครั้งที่ ๑ เป็นหลัก โดยที่จะไม่เพิกถอนสิกขาบทเล็กน้อยคือจะรักษาพระธรรมวินัยตามเดิมทุกอย่าง จึงไม่สามารถอุปสมบทให้แก่สตรีได้  เพราะภิกษุณีสงฆ์ที่จะให้การอุปสมบาทไม่มี ถ้านำเอาภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายมหายานที่มีสายมาจากภิกษุณีฝ่ายเถรวาทแทนย่อมไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยของเถรวาท ซึ่งภิกษุณีสงฆ์ที่บวชด้วยภิกษุณีสงฆ์ของมหายานมีข้อปฏิบัติต่างจากเถรวาท การทำสังฆกรรมกับสงฆ์ที่มีสังวาสต่างกันเป็นสังฆกรรมที่ใช้ไม่ได้ ผู้อุปสมบทจึงไม่เป็นภิกษุณีตามข้อกำหนดของฝ่ายเถรวาท
             ๒. การอุปสมบทเป็นภิกษุณีในสำนักของพระสงฆ์ลังกาที่ผสมผสานระหว่างฝ่ายมหายานกับเถรวาท ถ้าผู้อุปสมบทต้องการเป็นภิกษุณีนิกายเถรวาทใหม่หรือลังกาใหม่จึงไม่มีปัญหา แต่ถ้าต้องการเป็นภิกษุณีในนิกายเถรวาทจะมีปัญหา
             ๓. การจะแก้พระธรรมวินัย ภิกษุผู้แก้พระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนาให้วิปริตคลาดเคลื่อนเป็นบาปร้ายแรงแล้วใครจะเป็นคนบาปคนนั้น ตามหลักการของพระพุทธศาสนาเถรวาท คณะสงฆ์ไม่มีสิทธิ์ปรับแก้พระวินัยแต่ต้องทำตามเท่านั้น เพื่อรักษาเอกลักษณ์ของเถรวาท
             มหาเถรสมาคมประกาศเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๗ ด้วยเหตุผลว่าห้ามพระสงฆ์ไทยให้การบรรพชาและอุปสมบทแก่สตรีเป็นสามเณรีและภิกษุณีมีเหตุผล ดังนี้
             ๑. ภิกษุสงฆ์ไทยไม่สามารถอุปสมบทแก่สตรีที่ไม่ได้รับการอุปสมบทจากภิกษุณีสงฆ์ก่อน
             ๒. ภิกษุณีต้องเคารพในพระธรรมวินัย ครุธรรม ๘ ประการ ภิกษุสงฆ์จะบวชให้ใครต้องเป็นไปตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด
             ๓. ภิกษุสงฆ์เคารพในพระธรรมวินัยเป็นศาสดา
             ๔. ยึดหลักแห่งความเสื่อมและความเจริญของหมู่คณะ โดยการไม่บัญญัติสิกขาบทที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติขึ้นและไม่รื้อถอนสิกขาบทที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้ว
             ๕. ภิกษุสงฆ์ไทยเคารพในพระศาสดา แต่ไม่เคารพในหลักสิทธิมนุษยชนหรือหลักสิทธิเสรีภาพ
             ๖. ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในประเทศไทยไม่เคยมีภิกษุณีสายเถรวามเข้าสู่ประเทศไทย
             ๗. การบวชภิกษุณีบางส่วนไปบวชมาจากต่างประเทศและประเทศไทยบ้าง ซึ่งสามารถทำได้ตามหลักสิทธิเสรีภาพและรัฐธรรมนูญ  แต่ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยของฝ่ายเถรวาท คณะสงฆ์ไทยจึงรับไม่ได้      
           การเกิดขึ้นของภิกษุณีสงฆ์ในประเทศไทย  ซึ่งเกิดขึ้นจากศรัทธาของประชาชน ในขณะเดียวกันคณะสงฆ์ไทยก็อ่อนแอลงมากและเสื่อมศรัทธาจากประชาชนไปมาก จนไม่สามารถจะจัดการหรือแก้ปัญหาภิกษุณีในประเทศไทยได้ รัฐบาลก็ไม่มายุ่งเกี่ยวกับเรื่อศาสนาและพระสงฆ์ ถ้าไม่กระทบความมั่นคงของรัฐ รัฐบาลจึงให้คณะสงฆ์จัดการและแก้ปัญหาเอง
           การเกิดขึ้นของภิกษุณีสงฆ์ในประเทศไทย  ซึ่งได้รับความสนใจ ความศรัทธาของผู้หญิงที่จะบวชเป็นภิกษุณีและได้รับการสนับสนุนของผู้คนในสังคมที่อยากเห็นภิกษุณีเกิดขึ้น แม้ว่าคณะสงฆ์ไทยและรัฐบาลจะไม่ยอมรับว่ามีสามเณรีหรือพระภิกษุณี  แต่ประชาชนให้ความสนใจและความเคารพนับถือ สามเณรีและภิกษุณีได้เกิดขึ้นในความรู้สึกนึกคิดของประชาชน พระธรรมวินัยและการยอมรับของประชาชน  คนไทยอยากเห็นภิกษุณีสงฆ์เกิดขึ้นในประเทศไทย  เพราะว่าภิกษุณีสงฆ์เป็นความจำเป็นในการเผยแผ่พระธรรมและส่งเสริมการปฏิบัติธรรมในหมู่ของผู้หญิง  ซึ่งปัจจุบันผู้หญิงเป็นจำนวนมากหันมาปฏิบัติกับผู้หญิงด้วยกัน  จึงมีสำนักปฏิบัติธรรมของผู้หญิงเป็นเจ้าของและเป็นอาจารย์สอนธรรม อันเป็นการส่งเสริมผู้หญิงมีโอกาสได้รับการฝึกฝนตนเองอย่างเต็มที่ เพื่อความเจริญงอกงามและเป็นกำลังที่สำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอีกด้วย  ประเด็นปัญหาว่า “ประเทศไทยควรจะมีภิกษุณีสงฆ์หรือไม่” โดยการคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นแก่พระพุทธศาสนาและสังคมไทย ดังนี้
           ๑. การบวชภิกษุณีสงฆ์ฝ่ายเถรวาทไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย เพราะเหตุว่าการบวชนั้นจะต้องมีสงฆ์ ๒ ฝ่ายรับรอง
           ๒. เมื่อสังคมไทยเห็นว่า ควรมีภิกษุณีสงฆ์ในประเทศไทยค่อยมาพิจารณาถึงพระธรรมวินัยว่า เอื้ออำนวยหรือไม่ที่เปิดช่องให้มีการบวชภิกษุณีในปัจจุบันได้ ถ้าไม่ได้ก็ต้องคิดค้นหารูปแบบใหม่สำหรับภิกษุณีหรือผู้หญิงในชื่อใหม่  โดยที่ปฏิบัติตามวินัยปาฏิโมกข์ของภิกษุณี
           ๓. ปัจจุบันมีผู้หญิงไทยบางคนบวชเป็นภิกษุณีแล้วจำนวนมาก แต่ยังไม่ครบองค์สงฆ์ ความรู้ ความสามารถ และการอุทิศตน เพื่อพระพุทธศาสนาของสามเณรีและภิกษุณีสงฆ์ไทยในปัจจุบันและอนาคต  ถ้าคนไทยยอมรับและสนับสนุน  รัฐบาลและคณะสงฆ์ก็ขัดขวางไม่ได้ ปัญหามีอยู่ว่า “ใครจะเข้ามาดูแลและแก้ปัญหาหาทางออก”
             การอุปสมบทเป็นภิกษุณีในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขดังกล่าว  ปัญหาและทางออกของภิกษุณีสงฆ์ในประเทศไทย ดังนี้
             ๑. ถ้าผู้หญิงไทยมีศรัทธาในการอุปสมบทจะต้องแสวงหาการอุปสมบทจากคณะสงฆ์อื่น ที่ไม่ใช่พระสงฆ์ไทย  เพราะคณะสงฆ์ไทยห้ามภิกษุ สามเณรบวชภิกษุณี
                      ๒. เมื่ออุปสมบทแล้วตั้งพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทใหม่หรือลังกาใหม่ที่ไม่ปัญหาเกี่ยวกับการอุปสมบทภิกษุณี
             ๓. การที่ภิกษุณีสงฆ์ได้บวชในคณะสงฆ์ลังกา จึงไม่ขัดต่อพระธรรมวินัยอันเป็นสิทธิชอบธรรมของคณะสงฆ์ลังกา
             ๔. ผู้หญิงมีศรัทธาในการอุปสมบทเป็นภิกษุณีจากคณะสงฆ์ลังกา โดยวิธีญัตติจถุตถกัมอุปสัมปทา” สามารถทำได้ถ้าผู้หญิงมีศรัทธาจะบวช
                  ๕. การสร้างผลงานของภิกษุณีให้สังคมยอมรับ เพื่อเปลี่ยนเจตคติและค่านิยมต่อหลักการหรือเอกลักษณ์ของพระพุทธศาสนาเถรวาทผ่านทางสังคมและการเมือง เช่น จีน และญี่ปุ่น เป็นต้น   
             ๖. การสร้างและส่งเสริมนักบวชสตรีในรูปแบบอื่น เช่น สร้างภิกษุณีในรูปแบบของพรหมจาริณีหรือทศศีลมาตาหรือส่งเสริมสถานภาพของแม่ชีไทยให้ได้รับการยอมรับยิ่งขึ้น
             ปัญหาข้อขัดข้องบางประการเกี่ยวกับภิกษุณีในประเทศไทยคือการแก้ไขข้อกฎหมาย เพื่อรับรองสถานนักบวชที่จะเป็นทางออกที่ดี คณะสงฆ์จะต้องร่วมมือกับผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขกฎหมายหรือพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ เพื่อรองรับสถานภาพภิกษุณีที่อุปสมบทจากลังกา “คณะสงฆ์ลังกา” โดยที่การแก้ไขกฎหมายดังกล่าว คือ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ก็จะไม่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและคณะสงฆ์ฝ่ายเถรวาทไม่สูญเสียจุดยืนทางพระธรรมวินัยภิกษุไม่อุปสมบทภิกษุณี เมื่อภิกษุณีไม่ได้เป็นภิกษุณีในคณะสงฆ์ไทย แต่สังกัดคณะสงฆ์อื่น

             


[๑]วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี “ภิกษุณี” วันที่สืบค้นข้อมูล ๔ สิงหาคม ๒๕๖๐ เข้าถึงได้จาก :
 https://th.wikipedia.org/wiki
[๒]สุชีพ ปุญญานุภาพ, พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน, กรุงเทพมหานคร : ๒๕๕๔, หน้า ๓๒๐-๓๒๖.                    าสนาและปรัชญา “ภิกษุณีไทย” วันที่สืบค้นข้อมูล ๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ เข้าถึงได้จาก : http://bubeeja.blogspot.com
[๔]ณัฐรดา สุขสุธรรมวงศ์ “ปัญหาการบวชภิกษุณีในพุทธศาสนาเถรวาท” วันที่สืบค้นข้อมูล ๔ สิงหาคม ๒๕๖๐ เข้าถึงได้จาก : https://www.gotoknow.org
[๕]สามารถ มังสัง, พลวัตสังคม, “เหตุใดเมืองไทยจึงบวชนางภิกษุณีไม่ได้” วันที่สืบค้นข้อมูล ๔ สิงหาคม ๒๕๖๐ เข้าถึงได้จาก :http://www.manager.co.th/daily/viewnews.asp
[๗] พระเทพวิสุทธิกวี,  ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย, “ข้อสงสัยเรื่องภิกษุณี” วันที่สืบค้นข้อมูล ๔ สิงหาคม ๒๕๖๐ เข้าถึงได้จาก : http://www.bpct.org/index.php
[๘] ชำนาญ จันทร์เรือง, ประชาไทย,  “ห้ามบวชภิกษุณี” วันที่สืบค้นข้อมูล ๔ สิงหาคม ๒๕๖๐ เข้าถึงได้จาก : https://prachatai.com/journal
[๙]พระไพศาล วิสาโล, มติชนอนไลน์” “ภิกษุณีสงฆ์ทางเลือกที่เลี่ยงได้ยาก” วันที่สืบค้นข้อมูล ๔ สิงหาคม ๒๕๖๐ เข้าถึงได้จาก : http://www.visalo.org/article/matichon
 [๑๐]ศาสนาและปรัชญา “ภิกษุณีไทย” วันที่สืบค้นข้อมูล ๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ เข้าถึงได้จาก :  http://bubeeja.blogspot.com
 [๑๑]ศาสนาและปรัชญา “ภิกษุณีไทย” วันที่สืบค้นข้อมูล ๕ สิงหาคม ๒๕๖๐ เข้าถึงได้จาก :  http://bubeeja.blogspot.com