บทความวิชาการลำดับที่ 14
โดย พระครูวรวิริยคุณ (ปราโมทย์ กลิ่นละมัย)
โดย พระครูวรวิริยคุณ (ปราโมทย์ กลิ่นละมัย)
พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชเป็นปูชนียสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทยที่สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุบนหาดทรายแก้ว
มีอายุการก่อสร้างนับพันปีและมีประวัติที่ยาวนาน หลักฐานเกี่ยวกับพระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้มี
2 ประเภท คือ หลักฐานทางเอกสารและหลักฐานทางโบราณคดี
จากหลักฐานเหล่านี้จึงกล่าวได้ว่า
การกำเนิดพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชมีความสัมพันธ์กับพุทธประวัติ
ตำนานพระเขี้ยวแก้วและคัมภีร์ชินกาลมาลินี
ซึ่งได้กล่าวถึงเจ้าหญิงเหมชาลากับเจ้าชายทนตกุมารอัญเชิญพระทันตธาตุไปถวายพระเจ้ากรุงลังกา
แต่เรือสำเภาโดนพายุแตกเจ้าหญิงและเจ้าชายมาขึ้นฝั่งและฝังพระทันตธาตุไว้บนหาดทรายแก้ว กาลต่อมาพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงสร้างเมืองและสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ ในการสร้างครั้งนั้นสันนิษฐานว่า รูปทรงของพระบรมธาตุเจดีย์อาจเป็นศิลปะศรีวิชัย
ต่อมาสมัยพระเจ้าจันทรภานุศรีธรรมราชทรงบูรณะและเสริมสร้างให้เป็นรูปทรงศิลปะลังกาครอบเจดีย์องค์เดิมไว้
การสร้างพระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้สร้างตามคติความเชื่อเรื่องไตรภูมิให้เป็นเขาพระสุเมรุอันเป็นศูนย์กลางจักรวาล ตามรูปแบบทางสถาปัตยกรรมเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนทรงกลมแบบลังกามีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ
สูงจากพื้นดินถึงปลียอดทองคำประมาณ 37 วา หรือ 55.99 เมตร
การดูแลรักษาและบูรณปฏิสังขรณ์จึงเป็นหน้าที่พระครูทั้ง 4 รูป คือ พระครูกาแก้ว
พระครูการาม พระครูกาเดิม และพระครูกาชาด เจ้าเมืองสิบสองนักษัตร
พุทธศาสนิกชนและทางราชการบ้านเมือง จึงทำให้พระบรมธาตุเจดีย์เป็นศูนย์กลางเมือง
ศูนย์กลางชุมชน
และศูนย์กลางพระพุทธศาสนาที่สร้างความเป็นปึกแผ่นทางสังคมด้วยความเชื่อและพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา
จากการศึกษาที่ผ่านมาอาจกล่าวได้ว่าพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชมีความเป็นมา ที่ยาวนานและซับซ้อนยากที่จะสรุปลงได้อย่างง่ายดาย
อาจเป็นเพราะหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับพระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้มีมากมายหลากหลายที่มาที่แตกต่างกันทั้งในส่วนของหลักฐานทางเอกสารและหลักฐานทางโบราณคดี
ในส่วนนี้จึงสามารถทำได้เพียงการกล่าวถึงส่วนหนึ่งแห่งความเป็นมาของพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชโดยสังเขปเท่านั้น
ทั้งนี้เพื่อเป็นพื้นฐานและความสะดวกในการทำความเข้าใจในประเด็นอื่นๆ
ซึ่งจะได้กล่าวถึงในขั้นต่อไป ในการกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชในที่นี้อาศัยหลักฐาน
2 ประเภท คือ หลักฐานทางเอกสารและหลักฐานทางโบราณคดี
1. หลักฐานทางเอกสาร
1. หลักฐานทางเอกสาร
ขณะนี้ได้พบเอกสารที่กล่าวถึงความเป็นมาของพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เอกสารโบราณดังกล่าวคือ พระนิพพานโสตร ซึ่งแต่เดิมส่วนหนึ่งของเอกสารโบราณชนิดนี้มักจะเรียกกันว่า ตำนานพระบรมธาตุเมืองคอนฉบับกลอนสวด
จากการสนับสนุนของมูลนิธิโตโยต้าแห่งประเทศญี่ปุ่น ทำให้ศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช สามารถเก็บรวบรวม ศึกษา และพิมพ์พระนิพพานโสตรออกมาเผยแพร่
นอกจากนี้ยังมีเอกสารโบราณที่เป็นหลักฐานขั้นต้นเกี่ยวกับความเป็นมาของพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชอย่างน้อย
2 รายการ คือ ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช และตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช
ซึ่งเอกสารทั้งสองรายการนี้เป็นร้อยแก้ว ในขณะที่พระนิพพานโสตรเป็นร้อยกรอง
พระนิพพานโสตรตีพิมพ์ครั้งแรกมีชื่อเรียกว่า
“ตำนานพระบรมธาตุเมืองนคร” แต่งเป็น กลอนสวด เมื่อปี พ.ศ.2460 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงพระนิพนธ์อธิบายไว้ในคำนำของการตีพิมพ์ครั้งนั้นซึ่งมีเนื้อหาบางตอน
ดังนี้
“...หนังสือเรื่องนี้ ถ้าว่าโดยตำนาน
พิเคราะห์เห็นว่าเป็นหนังสือซึ่งกวีชาวนครฯ แต่งในเมืองนครฯ ถ้าประมาณเวลาที่แต่ง
เห็นจะราวในรัชกาลที่ ๑ ด้วยเหตุนี้
ถ้าผู้ที่อ่านจะเห็นว่าเรื่องราวหรือสำนวนเร่อร่าอย่างไร
ต้องเข้าใจว่าเป็นหนังสือชาวนครฯ แต่งในเมืองนครฯ ตามความที่เขาเชื่อมาอย่างนั้น
จะติเตียนหาควรไม่ ถ้าจะว่าเป็นหนังสือดีโดยเอกเทศอันหนึ่งก็สมควร โดยทำให้ปรากฏฝีปากกากวีชาว นครฯ
เห็นจะเป็นเรื่องนี้เป็นครั้งแรกที่ได้พิมพ์ขึ้น...”
หลังจากปี
พ.ศ.2460 พระนิพพานโสตร สำนวนนี้ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำอีกหลายครั้งจนปัจจุบันนี้ อาจจะกล่าวได้ว่าตำนานพระธาตุเมืองนครที่แต่งเป็นกลอนสวดกับพระนิพพานโสตรนั้นคือ
อันหนึ่งอันเดียวกันและควรเรียกว่าพระนิพพานโสตร นอกจากนี้ได้พบข้อมูลใหม่ที่เกี่ยวพระนิพพานโสตรซึ่งเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์แห่งนครศรีธรรมราชอีกหลายประการ
สำหรับตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช
(ฉบับร้อยแก้ว) ได้ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2471 ในการพิมพ์ครั้งนั้น
พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ได้ทรงพิมพ์คำอธิบายไว้ในบทความบางตอน ดังนี้
“...หนังสือนี้พิมพ์ตามต้นฉบับที่มีอยู่ในหอพระสมุดวชิรญาณ เป็นหนังสือฝรั่งเขียนเส้นหมึกต้นฉบับนี้เป็นสำเนาคัดมาจากหนังสือเก่า
เห็นได้ตามตัวสะกดและถ้อยคำสำนวน
ซึ่งเก่าก่อนเวลาที่ใช้หมึกและกระดาดอย่างนั้น...
หนังสือนี้สันนิษฐานว่าแต่งในแผ่นดินพระนารายณ์
ศักราชในที่สุดบอกปีในปลายแผ่นดินพระเจ้าปราสาททอง ส่วนเนื้อหาซึ่งว่าเป็นตำนานพระธาตุนครศรีธรรมราช
ก็เป็นตำนานอย่างนิทานประจำท้องถิ่น มีโน่นปนนี่มากมาย แต่ความจริงอาจมีมาแต่เดิมบ้าง
และไม่มีอะไรที่ทำให้เห็นว่าผู้แต่งไม่เชื่อว่าเป็นความจริงทั้งนั้น
แม้ที่กล่าวถึงปาฏิหาริย์ต่างๆ และพญาครุฑพญานาคก็กล่าวตามที่เชื่อกันว่าจริง
ถ้าจะว่าที่แท้เรื่องพระธาตุปาฏิหาริย์นั้น คนยังเชื่อกันอยู่จนเวลานี้ แต่ถ้าจะตั้งปัญหาว่าหนังสือนี้มีประโยชน์เพียงใด ในโบราณคดีก็ยากที่ตอบได้
การหาหลักฐานจากโบราณคดี
ถ้าไม่มีอะไรดีกว่านิทานก็ต้องรับเอานิทานเข้าประกอบหนังสือนี้ จึงอาจเป็นประโยชน์ได้บ้างในทางโบราณคดี...”
ในทำนองเดียวกันหลังปี
พ.ศ.2471 ตำนานพระธาตุนครศรีธรรมราช สำนวนนี้ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำหลายครั้งในต่างกรรมต่างวาระกันตราบจนปัจจุบันนี้
แม้ว่าจะมีการกล่าวกันว่าได้มีการค้นพบเรื่องนี้อีกหลายสำนวน แต่ไม่ค่อยมีการตีพิมพ์เผยแพร่
จากเอกสารที่กล่าวมาสามารถสรุปได้ว่า การกำเนิดของพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชยึดอยู่กับพระพุทธประวัติอย่างเหนียวแน่น กล่าวคือ ในตอนต้นของเรื่องได้กล่าวถึงการประสูติของพระพุทธองค์แล้วดำเนินเรื่องมาตามลำดับความในพระพุทธประวัติ จวบจนพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน จากนั้นจึงกล่าวถึงการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุและการประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ณ ที่ต่างๆ ทั้งบนสวรรค์ ในโลก และนาคพิภพ ต่อมาพระเจ้าอชาตศัตรูทรงนิมนต์ให้ พระมหากัสสปะไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมารวมไว้ในที่เดียวกัน โดยรับสั่งให้ขุดหลุมฝังไว้ ณ นครราชคฤห์ในชมพูทวีปแล้วผูกกาภาพยนตร์ไว้รักษา
จากเอกสารที่กล่าวมาสามารถสรุปได้ว่า การกำเนิดของพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชยึดอยู่กับพระพุทธประวัติอย่างเหนียวแน่น กล่าวคือ ในตอนต้นของเรื่องได้กล่าวถึงการประสูติของพระพุทธองค์แล้วดำเนินเรื่องมาตามลำดับความในพระพุทธประวัติ จวบจนพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน จากนั้นจึงกล่าวถึงการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุและการประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ณ ที่ต่างๆ ทั้งบนสวรรค์ ในโลก และนาคพิภพ ต่อมาพระเจ้าอชาตศัตรูทรงนิมนต์ให้ พระมหากัสสปะไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมารวมไว้ในที่เดียวกัน โดยรับสั่งให้ขุดหลุมฝังไว้ ณ นครราชคฤห์ในชมพูทวีปแล้วผูกกาภาพยนตร์ไว้รักษา
เมื่อศักราช
224
พระยาโศกราชหรือธรรมาโศกราชหรือศรีธรรมาโศกราชแห่งนครอินทรปัตถ์ในชมพูทวีป
ได้โปรดให้ขุดพระบรมสารีริกธาตุนั้นแจกจ่ายไปยังนครต่างๆ ทั้ง 84,000 นคร ส่วนพระเกษมมหาเถระได้กำบังกายเข้าไปในกองเพลิงในวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแล้วอันเชิญพระทันตธาตุออกไปถวายพระเจ้าสิงหราชแห่งนครป่าหมาก
(ต่อมาเรียกนครนี้เป็นทนทบุรีหรือทนธบุรี) เป็นเหตุให้กษัตริย์เมืองต่างๆ
ยกทัพมาแย่งพระทันตธาตุจากพระเจ้าสิงหราชมิได้ขาด พระสิงหราชทรงอ้างเอาพระพุทธคุณมาปกปักรักษาพระองค์จึงทรงชนะศึกทุกคราว แต่ในครั้งสุดท้ายข้าศึกได้รวมตัวกันโดยกษัตริย์
5 พระองค์เข้าประชิดเมือง ด้วยทรงหวังจะแย่งพระทันตธาตุเช่นเดียวกัน
พระเจ้าสิงหราชทรงคาดการณ์ว่ายากจะเอาชนะได้ จึงรับสั่งให้พระราชธิดาคือ เจ้าหญิงเหมชาลาและราชโอรสคือเจ้าชายทนตกุมารหรือทนธกุมาร อัญเชิญพระทันตธาตุลงกำปั่นหนีไปลังกาเพื่อถวายพระทันตธาตุแด่พระเจ้ากรุงลังกา เพราะได้มาทูลขอหลายครั้งแล้วแต่พระเจ้าสิงหราชมิได้ประทานไป
ในที่สุดเหตุการณ์เป็นไปดังที่พระองค์ทรงคาดไว้คือ
พระเจ้าสิงหราชสวรรคตในการศึกครั้งนั้น
เจ้าหญิงเหมชาลาและเจ้าชายทนตกุมารลงเรือกำปั่นไปลังกา โดยซ่อนพระทันตธาตุไว้ในเกศาของพระนางเหมชาลา
แต่เรือกำปั่นแตกเพราะถูกพายุ ทั้งสองได้ขึ้นฝั่ง ณ หาดทรายแก้ว
แล้วฝังพระทันตธาตุไว้ ณ ที่นั้น ท้าวนาคาได้มาพบพระทันตธาตุที่ฝังไว้นั้นจึงอัญเชิญไปกรุงนาคา
พระมหาเถรพรหมเทพได้ไปอัญเชิญกลับมาคืนแก่สองกุมาร สองกุมารได้อัญเชิญพระทันตธาตุนั้นต่อไปยังลังกาโดยเรือกำปั่นของพ่อค้าที่ผ่านมา ขณะเดินทางท้าวนาคาได้บันดาลให้เรือถูกพายุเพราะหมายจะแย่งพระทันตธาตุอีก
แต่พระมหาเถรพรหมเทพมาปราบได้ ทำให้เรือกำปั่นเดินทางมาถึงลังกาด้วยสวัสดิภาพ
เมื่อมาขึ้นฝั่งแล้วเจ้าหญิงเหมชาลาและเจ้าชายทนตกุมารได้เข้าเฝ้าพระสังฆราชแห่งลังกา
ณ โลหปราสาท
พระสังฆราชจึงจัดให้พักที่นั้น ตกตอนกลางคืนพระทันตธาตุได้แผ่ฉัพพรรณรังสี
ทำให้พระสังฆราชทราบข้อเท็จจริงโดยตลอด จึงมีพุทธฎีกาให้เจ้าเณรซึ่งสำเร็จพระอรหันต์ไปกราบบังคมทูลให้กษัตริย์ลังกาทราบ
พระเจ้าทศคามมุนี (อาจจะหมายถึงพระเจ้าทุฏฐคามณีกษัตริย์แห่งลังกา
ซึ่งครองกรุงอนุราธปุระระหว่างปีพุทธศักราช 382-406) ได้เสด็จมารับพระทันตธาตุ ณ โลหปราสาท แล้วอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ
พระบรมมหาราชวัง จากนั้นจึงทรงสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ขึ้นประดิษฐานพระทันตธาตุและรับสั่งให้ผูกกาภาพยนตร์ไว้รักษา
พระเจ้าทศคามุนีทรงทราบพระพุทธทำนายว่าในศักราช
700 เศษ พระเจ้าธรรมโศกราชแห่งหาดทรายแก้ว จะทรงแจกพระบรมสารีริกธาตุ จึงรับสั่งให้เจ้าเณรไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ 2 ทะนานมาจากท้าวนาคา ประทานให้เจ้าหญิงเหมชาลา เจ้าชายทนตกุมาร พระราชครูและบริวาร อัญเชิญไปประดิษฐาน ณ
หาดทรายแก้ว พร้อมด้วยเครื่องพุทธบูชามากมาย และทรงมีพระราชสาส์นไปยังกษัตริย์ทั้ง
5 แห่งทนทบุรีเพื่อฝากฝัง 2 กุมารด้วย เมื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุไว้ ณ
หาดทรายแก้วพร้อมผูกกาภาพยนตร์ไว้รักษาเรียบร้อยแล้ว เจ้าหญิงเหมชาลาและคณะก็เดินทางต่อไปยังทนทบุรี
พระเจ้าธรรมโศกราช
(โศกราชหรือศรีธรรมโศกหรือธรรมโศกราชหรือศรีธรรมโศกราช) แห่งเมืองเอาวราช
(อวดีหรือสวัสดีราช) พร้อมด้วยพระนนทราชา พระอนุชาได้ทรงอพยพผู้คนหนี ไข้ห่าลงมาทางใต้มาตั้งถิ่นฐานที่เขาชวาปราบ
เวียงสระ เขาวัง ลานตะกา (ลานตอกาหรือลานสกา) และหาดทรายแก้วตามลำดับ
แม้ว่าจะทรงอพยพผู้คนหนีไข้ห่าบ่อยครั้งก็ไม่สามารถหนีไข้ห่าได้ จนต้องทำพิธีทำเงินตรา “น โม”
เพื่อแก้ไข้ห่าตามคำของพระอรหันต์ เมื่อทรงแก้ไข้ห่าได้สำเร็จก็รับสั่งให้เตรียมการขุดพระบรมสารีริกธาตุ
ณ หาดทรายแก้ว
โดยมีเจ้ากากภาษาจากเมืองโรมพิสัยเป็นผู้ช่วยเหลือในการแก้ภาพยนตร์ซึ่งเฝ้าอยู่ที่ตึกอันเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ
นอกจากนี้เทวดาและท้าวนาคาได้ช่วยในการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและสร้างเมือง
ณ หาดทรายแก้วจนสำเร็จ
ในการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชของพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช
ได้มีหัวเมืองน้อยใหญ่ทั้งมวลมาช่วยเหลือ
หากเมืองใดมาไม่ทันการก่อสร้างก็ได้ฝังทรัพย์ที่นำมาเป็นพุทธบูชานั้นไว้ตามที่ต่างๆ
โดยทั่วไป นอกจากนี้พระเจ้ากรุงลังกาและเจ้าเมืองหงสาก็ได้มาช่วยด้วยเพราะเห็นว่าเป็นพระญาติกัน ฝ่ายพระเจ้ากรุงลังกานั้นมาช่วยเหลือเพราะทรงทราบจากพระพุทธทำนายว่าในศักราช
700 เศษ
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชแห่งหาดทรายแก้วจะทรงแบ่งพระบรมสารีริกธาตุและสร้างพระบรมธาตุเจดีย์อีกโสดหนึ่งด้วย
(ปรีชา นุ่นสุข, 2530 :
6-9)
จากการที่พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงสร้างพระบรมธาตุเจดีย์สำเร็จ เป็นเหตุให้มีหัวเมืองน้อยใหญ่มากมายมาเป็นเมืองขึ้นในรูปของเมือง 12 นักษัตร ทำให้พระเจ้าอู่ทองหรือท้าวอู่ทองแห่งกรุงทนบุรี (ทนทบุรีหรือทนธบุรี) ทราบข่าวนี้มีความไม่พอพระทัยอย่างยิ่งจึงรับสั่งให้ราชทูตถือพระราชสาส์นมากราบทูลให้พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเฝ้า แต่พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงไม่ยินยอมที่จะเข้าเฝ้าเพราะทรงเห็นว่าพระองค์มิได้อยู่ภายใต้อำนาจของท้าวอู่ทองแต่อย่างใด จึงเป็นการไม่ถูกต้องที่จะทรงกระทำเช่นนั้น ในที่สุดจึงได้เกิดศึกระหว่างพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชกับท้าวอู่ทอง ไพร่พลล้มตายมากมาย พระเจ้าศรีธรรมโศกราชทรงรำพึงว่าพระองค์ทรงสร้างพระบรมธาตุเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุสำเร็จนับเป็นกุศลมาก ไม่ควรที่จะมาก่อเวรกรรมเพราะการศึกเช่นนี้ จึงรับสั่งให้เจรจาศึกแล้วแบ่งดินแดนกับท้าวอู่ทองพร้อมได้สัญญาเป็นมิตรไมตรีต่อกันสืบไป อย่างไรก็ตามเอกสารแต่ละสำนวนอาจจะมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันออกไปบ้าง เช่น บางสำนวนกล่าวว่า
จากการที่พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงสร้างพระบรมธาตุเจดีย์สำเร็จ เป็นเหตุให้มีหัวเมืองน้อยใหญ่มากมายมาเป็นเมืองขึ้นในรูปของเมือง 12 นักษัตร ทำให้พระเจ้าอู่ทองหรือท้าวอู่ทองแห่งกรุงทนบุรี (ทนทบุรีหรือทนธบุรี) ทราบข่าวนี้มีความไม่พอพระทัยอย่างยิ่งจึงรับสั่งให้ราชทูตถือพระราชสาส์นมากราบทูลให้พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเฝ้า แต่พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงไม่ยินยอมที่จะเข้าเฝ้าเพราะทรงเห็นว่าพระองค์มิได้อยู่ภายใต้อำนาจของท้าวอู่ทองแต่อย่างใด จึงเป็นการไม่ถูกต้องที่จะทรงกระทำเช่นนั้น ในที่สุดจึงได้เกิดศึกระหว่างพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชกับท้าวอู่ทอง ไพร่พลล้มตายมากมาย พระเจ้าศรีธรรมโศกราชทรงรำพึงว่าพระองค์ทรงสร้างพระบรมธาตุเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุสำเร็จนับเป็นกุศลมาก ไม่ควรที่จะมาก่อเวรกรรมเพราะการศึกเช่นนี้ จึงรับสั่งให้เจรจาศึกแล้วแบ่งดินแดนกับท้าวอู่ทองพร้อมได้สัญญาเป็นมิตรไมตรีต่อกันสืบไป อย่างไรก็ตามเอกสารแต่ละสำนวนอาจจะมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันออกไปบ้าง เช่น บางสำนวนกล่าวว่า
“...เมื่อศักราชได้ ๑๐๙๘ ปี พระยาศรีธรรมโศกราชก็สร้างการลง
ณ หาดทรายแก้วชเลรอบเป็นเมืองนครศรีธรรมราชมหานคร
แล้วสั่งให้ทำอิฐทำปูนก่อพระธาตุครั้งนั้น
แลยังมีพระสิหิงค์ล่องชเลมาแต่เมืองลังกามายังเกาะปีนัง
แลพ้นมาถึงหาดทรายแก้วที่จะก่อพระมหาธาตุนั้น...”
ส่วนวิธีที่ใช้ในการก่อสร้างพระบรมธาตุเจดีย์บนหาดทรายแก้วเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่เจ้ากากภาษาให้ขุดและอัญเชิญออกจากตึกที่มีกาภาพยนตร์เฝ้าอยู่นั้น เอกสารโบราณเหล่านี้ส่วนใหญ่กล่าวไว้ตรงกันคือ
เมื่อได้ภูมิชัยแล้วเจ้ากากภาษาให้ขุดหลุมขนาดกว้าง ยาวและลึกเท่ากัน คือ 8 วา
รองพื้นด้วยศิลาขนาดใหญ่อย่างมั่นคง ทำสระลูกหนึ่งด้วยปูนเพชร ขนาดกว้างและลึก 2
วา เอาสิ่งต่างๆ ที่กษัตริย์ลังกาเคยถวายมาแต่ต้น คือ
แม่ขันที่บรรจุน้ำพิษพญานาคและมีเรือสำเภาทองซึ่งบรรจุผอบพระบรมสารีริกธาตุลอยอยู่ในแม่ขันนั้น
ลอยลงในสระ นำเครื่องพุทธบูชาลงไปวางไว้ให้หามตุ่มที่บรรจุทองคำขนาดตุ่มละ 38
คนหาม ลงไปทั้ง 4 ตุ่ม วางไว้ที่มุมสระมุมละใบ เจ้ากากภาษาอุทิศว่าอย่าให้น้ำในสระเหือดแห้ง ธูปเทียนดอกไม้อย่าสูญหาย
ขอให้ยืนยงอยู่จนศักราช 5,000 เจ้ากากภาษาผูกภาพยนตร์ด้วยเวทมนต์คาถาเป็นยักษ์ คน
ครุฑ นาค สิงห์ โค ม้าและช้าง เป็นต้น
เมื่อผูกภาพยนตร์ตามตำราแล้วเจ้ากากภาษาก็ขึ้นมาให้วัดออกไปจากฐานนั้นข้างละ
8 วา ขุดลึกลงไป 4 วาครึ่ง ปักศิลาอย่างมั่นคงคือลึก 6 วา ทั้ง 8 ด้าน ระหว่างศิลาแต่ละเสาให้ก่ออิฐสูง 4 วา ระหว่างเสาศิลาแต่ละต้นกับสระให้เรียบอิฐ
ถัดจากเสาศิลาออกไปให้เรียบอิฐอย่างเรียบร้อยทุกต้น ที่องค์พระบรมธาตุเจดีย์ ถัดจากองค์ปรางขึ้นไปใช้ศิลาอย่างแข็งแรง
ถัดจากประทุมโกศขึ้นไปใช้เหล็กอย่างมั่นคงจนสุดยอด พระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้สูง 1 เส้น 15 วา 3 ศอก
ภายในบรรจุแก้วแหวนเงินทองนานาชนิดที่มีผู้นำมาบูชา
ที่ยอดประดับด้วยดวงแก้วที่พญานาคเคยนำมาบูชาพระบรมสารีริกธาตุแล้วพรานสุรีเก็บมาถวายพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช
ข้างนอกใช้ปูนฉาบทำพระอรหันต์ ยืนไหว้รอบพระบรมธาตุทั้ง 8 ทิศ ทิศละองค์
ส่วนที่อาสน์ของพระบรมธาตุเจดีย์ทำเป็นช้างล่อหัว จากนั้นจึงทำบันไดขึ้นสู่พระบรมธาตุเจดีย์นั้น ส่วนหัวเมืองน้อยใหญ่ได้ช่วยกันสร้างเสริมพระบรมธาตุเจดีย์
พระพุทธรูปและวิหารต่างๆ มาโดยลำดับ
2. หลักฐานทางโบราณคดี
2. หลักฐานทางโบราณคดี
การศึกษาทางด้านโบราณคดีเกี่ยวกับพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชยังมีน้อย
จนยากที่จะกล่าวถึงพระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้ในทางโบราณคดี จึงมักจะออกมาในรูปแบบของการสันนิษฐานเป็นส่วนใหญ่ อาทิเช่น เมื่อปี พ.ศ.2469 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงมีพระดำริไว้ว่า พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช
(องค์เดิม) ที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร นครศรีธรรมราชนั้นเป็นศิลปะสมัยศรีวิชัย
มีอายุระหว่างปี พ.ศ.1200-1400 ทรงสันนิษฐานว่าเป็นศิลปะที่สร้างขึ้นเนื่องในพระพุทธศาสนามหายาน โบราณสถานในสมัยศรีวิชัยมักจะมีรูปทรงเป็นมณฑปมีหลังคาเป็นสถูปและใช้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป
ได้แก่ พระบรมธาตุไชยา อำเภอไชยา
จังหวัดสุราษฎร์ธานี และพระบรมธาตุเจดีย์องค์เดิมที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นต้น ส่วนมณฑปที่วัดเจดีย์เจ็ดแถว อำเภอศรีสัชนาลัย
จังหวัดสุโขทัย อาจจะได้รับอิทธิพลจากอาณาจักรศรีวิชัย
เมื่อปี
พ.ศ.2474 นายเจ วาย คลายส์ (J.Y. Claeys)
ได้เห็นด้วยกับสมมติฐานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพที่ว่าด้วยพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช
(องค์เดิม) เป็นสถาปัตยกรรมทรงมณฑปมีหลังคาทรงสถูปและสันนิษฐานว่าสถูปจำลองห้ายอด ซึ่งตั้งอยู่ติดกับระเบียงคดด้านทิศตะวันออกของวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารนั้น
เป็นต้นแบบของพระบรมธาตุเจดีย์องค์เดิมที่อยู่ภายในพระบรมธาตุเจดีย์องค์ปัจจุบัน
เมื่อประมาณปี พ.ศ.2512 ศาสตราจารย์ชอง บวสเซอลีเย่ (Jean Boisselier) นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส ได้กล่าวถึงพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช ดังนี้
เมื่อประมาณปี พ.ศ.2512 ศาสตราจารย์ชอง บวสเซอลีเย่ (Jean Boisselier) นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส ได้กล่าวถึงพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช ดังนี้
“...พระเจดีย์ซึ่งสร้างอยู่ใกล้ทางเข้าในสมัยรัชกาลที่
๕ ได้รับการพรรณนาอย่างละเอียดจากนายแคลซผู้ได้ให้ภาพวาดไว้ด้วย
ตามการค้นคว้าซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นผู้แนะ เจดีย์องค์นี้อาจจะเป็นรูปจำลองของเจดีย์องค์ประกอบดั้งเดิมของวัดนี้
และเจดีย์องค์ประกอบดั้งเดิมนี้ก็คงเหมือนกับเจดีย์องค์อื่นๆ คือ
ได้รับการบูรณะในสมัยรัชกาลที่ ๕ อย่างไรก็ตาม
ศาสตราจารย์บวสเซอลีเย่ก็เชื่อตามที่นายแคลซได้ กล่าวไว้ว่า
ไม่มีอะไรที่ทำให้น่าเชื่อได้ว่าเจดีย์องค์จำลองนี้เหมือนกับเจดีย์องค์ดั้งเดิมอย่างแท้จริง
คือ คงจะไม่ใกล้เคียงเท่ากับรูปจำลองที่พระปฐมเจดีย์
ซึ่งเจดีย์เดิมยังคงแลเห็นได้อยู่เมื่อมีการสร้างองค์จำลองขึ้นที่วัดพระบรมธาตุ
จังหวัดนครศรีธรรมราช การบูรณะครั้งสุดท้ายได้กระทำเมื่อเจดีย์องค์เดิมได้รับการบูรณะไปเสียมากแล้ว
และคงจะได้รับการเปลี่ยนแปลงรูปไปเสียมากแล้วด้วย
โดยเฉพาะในปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๓
คือ ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าบรมโกศแห่งพระนครศรีอยุธยา ซึ่งสวรรคตใน พ.ศ.๒๒๙๙
เชื่อกันว่าในรัชสมัยของพระองค์ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญแก่ทางเข้า พระสถูปใหญ่
ซึ่งมีสถูปเล็กๆ
ตั้งอยู่ที่มุมลานชั้นบน
คำพรรณนาของนายลูเนต์ เดอ ลาจองกิแยร์
ได้ให้ไว้ใน พ.ศ.๒๔๕๒ และ ๒๔๕๕
เกี่ยวกับเจดีย์พระบรมธาตุที่จังหวัดนครศรีธรรมราชยังคงใช้ได้ดีอยู่
แม้ว่าท่านจะไม่ได้ให้ภาพวาดไว้ด้วยก็ตาม ชั้นล่างของเจดีย์ซึ่งประกอบด้วยฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมเล็กน้อย มีระเบียงเครื่องไม้มุงล้อมรอบ ทำให้นึกไปถึงศิลปะทวารวดีซึ่งมีซุ้มอยู่ระหว่างเสา แต่ ณ
ที่นี้ก็มีส่วนหน้าของรูปช้างเข้ามาประกอบ ด้านบนของซุ้มรูปช้างมีวงโค้งคล้ายคลึงกับเมืองคูบัว จังหวัดราชบุรี สำหรับซุ้มที่มีพระพุทธรูปและรูปเทวดาบนเสาติดกับผนังนั้นคงเป็นสิ่งที่มาต่อเติมขึ้นในภายหลัง
ลายลวดบัวฐานไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับศิลปะทวารวดีและก็คงจะประดิษฐ์เพิ่มเติมขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ
น่าเสียดายที่ปูนปั้นที่หุ้มอยู่ทำให้ไม่อาจแลเห็นอิฐหรือวิธีเรียงอิฐได้...”
ศาสตราจารย์หม่อมเจ้าสุภัทรดิส ดิศกุล
ทรงมีพระดำริว่า
พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชองค์ปัจจุบันมีลักษณะคล้ายกับเจดีย์กิริเวเหระ
เมืองโปโลนนารุวะของประเทศศรีลังกา
ซึ่งเจดีย์ดังกล่าวสร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุมหาราช ประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ 18 ดังความตอนหนึ่งว่า
“...ได้เข้าไปในบริเวณซึ่งมีชื่อว่า
อาฬาหนะปริเวณ (Alahanaparivena) วัดนี้ พระเจ้าปรากรมพาหุมหาราชทรงสร้างอีก
ได้แต่เฉพาะเจดีย์กิริเวเหระ
ซึ่งกล่าวกันว่ามเหสีของพระเจ้าปรากรมพาหุมหาราชทรงสร้างเป็นเจดีย์สูงใหญ่
มีฐานประดับด้วยลายบัว ๓ ชั้น องค์ระฆังเป็นรูปโอคว่ำ
แล้วจึงบัลลังก์รูปสี่เหลี่ยมมีลายขัดแตะและธรรมจักรประกอบ
เหนือนั้นเป็นส่วนที่คอดเข้าไปแล้วจึงถึงปล้องไฉน
มีลักษณะคล้ายกับเจดีย์พระบรมธาตุที่วัดพระบรมธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช...”
ส่วนรองศาสตราจารย์ศรีศักร
วิลลิโภดม ได้กล่าวว่า เมืองนครศรีธรรมราชอาจเกิดขึ้นในสมัยอยุธยา
แต่โบราณสถานและโบราณวัตถุในเขตเมืองจำนวนมากมีมาก่อนการตั้งเมืองเพราะว่าบริเวณนี้เป็นแหล่งชุมชนมาแต่เดิมและได้กล่าวถึงพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช
ดังนี้
“...แม้ว่าเมืองนครศรีธรรมราชแห่งนี้จะเกิดขึ้นในสมัยอยุธยา
ซึ่งพงศาวดารว่าสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดให้มองซิเออร์ เดอ ลามา
ชาวฝรั่งเศสเป็นนายช่างก่อสร้าง
แต่บรรดาโบราณสถานวัตถุในเขตเมืองนี้ก็มีเป็นจำนวนมากที่มีมาก่อนอายุของเมือง
ทั้งนี้เพราะบริเวณนี้เป็นแหล่งชุมชนมาแต่ดั้งเดิม โบราณสถานที่เห็นได้ชัด คือ
พระเจดีย์พระบรมธาตุนครศรีธรรมราช พระสถูปองค์นี้
แม้ว่าจะมีผู้กล่าวว่าเป็นของที่สร้างคลุมสถูปองค์เดิมภายในก็ตาม
แต่ลักษณะก็เป็นของเก่าแก่และเชื่อกันว่าได้รับอิทธิพลของพระเจดีย์แบบลังกา
ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า พระเจดีย์องค์นี้คงสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘
ในสมัยที่เมืองนครศรีธรรมราช (กระหม่อมโคก) ยังเป็นราชธานีของภาคใต้อยู่
ลักษณะของพระเจดีย์ในระยะแรกๆ นั้น เจดีย์ทรงกลมตั้งอยู่บนฐานทักษิณสี่เหลี่ยม
มีเจดีย์เล็กประดับที่มุมทั้งสี่ และรอบๆ ฐานประดับด้วยช้างโพล่หัวออกมาจากซุ้มพระเจดีย์นี้
เป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองของเมืองนครศรีธรรมราช
เพราะได้กลายเป็นแบบอย่างให้แก่พระสถูปเจดีย์อีกหลายๆ องค์
ซึ่งสร้างขึ้นมาในสมัยหลังๆ จนทุกวันนี้
ในทำนองเดียวกันกับพระเจดีย์บรมธาตุไชยา พระเจดีย์พระธาตุนครศรีธรรมราชเป็นเจดีย์ที่ทรงอิทธิพลในทางศิลปสถาปัตยกรรมไปยังเจดีย์ในเขตต่างๆ
ทางภาคกลางและภาคเหนือของประเทศไทย...”
จากการศึกษาเอกสารตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช
ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช พระนิพพานโสตร และแนวคิดของนักปราชญ์
นักวิชาการที่เกี่ยวกับประวัติความเป็นมารูปแบบ วิวัฒนาการและอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมของพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชที่เริ่มตั้งแต่การนำพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานบนหาดทรายแก้ว
การสร้างพระบรมธาตุเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
การบูรณะและเสริมสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ให้เป็นเจดีย์ทรงลังกา
ตลอดจนการบูรณปฏิสังขรณ์ของพุทธศาสนิกชนและทางราชการบ้านเมืองดังที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันอย่างชัดเจน
สรุปว่า พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชสร้างขึ้นบนหาดทรายแก้วเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ มีอายุการก่อสร้างนับพันปีและมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานซับซ้อนยากที่จะสรุปได้ เพราะหลักฐานที่เกี่ยวกับพระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้มีมากมาย ซึ่งมีหลักฐานอ้างอิง 2 ประเภท คือ หลักฐานทางเอกสารและหลักฐานทางโบราณคดี จากหลักฐานทั้งหมดสามารถสรุปได้ว่าการกำเนิดพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชสัมพันธ์กับพุทธประวัติ ตำนานพระเขี้ยวแก้ว และคัมภีร์ชินกาลมาลินีอย่างเหนียวแน่น ส่วนหลักฐานทางโบราณคดีขององค์พระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้มีน้อยจนยากที่จะกล่าวถึง จึงมักออกกมาในรูปแบบของการสันนิษฐานเป็นส่วนใหญ่
สรุปว่า พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชสร้างขึ้นบนหาดทรายแก้วเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ มีอายุการก่อสร้างนับพันปีและมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานซับซ้อนยากที่จะสรุปได้ เพราะหลักฐานที่เกี่ยวกับพระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้มีมากมาย ซึ่งมีหลักฐานอ้างอิง 2 ประเภท คือ หลักฐานทางเอกสารและหลักฐานทางโบราณคดี จากหลักฐานทั้งหมดสามารถสรุปได้ว่าการกำเนิดพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชสัมพันธ์กับพุทธประวัติ ตำนานพระเขี้ยวแก้ว และคัมภีร์ชินกาลมาลินีอย่างเหนียวแน่น ส่วนหลักฐานทางโบราณคดีขององค์พระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้มีน้อยจนยากที่จะกล่าวถึง จึงมักออกกมาในรูปแบบของการสันนิษฐานเป็นส่วนใหญ่
บรรณานุกรม
ปรีชา
นุ่นสุข. พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช. นครศรีธรรมราช : กรุงสยามการพิมพ์, 2530.
ปรีชา นุ่นสุข.
“วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร”. ในนครศรีธรรมราช. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์, 2521.
ปรีชา
นุ่นสุข. “วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร”. ในรัตนธัชมุนีอนุสรณ์. กรุงเทพมหานคร : กรุงสยามการพิมพ์. 2523.
ปรีชา นุ่นสุข. พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช. กรุงเทพมหานคร :
กรุงสยามการพิมพ์, 2530.
ปรีชา
นุ่นสุข. ประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช : พัฒนาการของรัฐบนคาบสมุทรไทยในพุทธศตวรรษที่
11-19.
วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต
บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2544.
ปรีชา นุ่นสุข. รายงานการวิจัยเรื่องประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในคาบสมุทรภาคใต้ของประเทศไทย.
คณะกรรมการวิจัยการศึกษา
การศาสนาและการวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ, 2544.
พระปราโมทย์
กลิ่นละมัย. การศึกษาบทบาททางการปกครองของราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช : กรณีศึกษาจาก
“ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช”. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบันฑิต
บัณฑิตวิทยาลัย :
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช, 2549.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น