บทความวิชาการลำดับที่ 16
โดย พระครูวรวิริยคุณ (ปราโมทย์ กลิ่นละมัย)
เรื่อง "การประดิษฐานพระทันตธาตุของพระพุทธเจ้าบนหาดทรายแก้วเมืองนครศรีธรรมราช"
พระทันตธาตุองค์นี้มีเรื่องปรากฏอยู่ในตำนานพระเขี้ยวแก้วและคัมภีร์ชินกาลมาลินีว่าเมื่อครั้งถวายพระเพลิงพุทธสรีระขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มกุฏพันธนเจดีย์ แคว้นมัลละ ในครั้งนั้นเขมภิกษุซึ่งเป็นพระสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารูปหนึ่งได้นำพระทันตธาตุออกมาจากจิตกาธานในขณะที่ถวายพระเพลิงพุทธสรีระขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
นำไปมอบให้พระเจ้าพรหมทัตกษัตริย์แคว้นกลิงคราษฎร์ได้นำพระทันตธาตุไปประดิษฐาน ณ
เมืองทันตบุรี
ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นกลิงคราษฎร์ในเวลานั้นและคงจะประดิษฐานพระทันตธาตุที่เมืองทันตบุรีสืบมาเป็นเวลาประมาณ
100 กว่าปี
ครั้นเมื่อถึงสมัยของพระเจ้าคูหาสิวะ ซึ่งตรงกับระยะเวลาที่พระเจ้ากฤตติสิริเมฆวันครองกรุงลังกา ประมาณปี พ.ศ.841-
869
พระเจ้าคูหาสิวะได้ให้พระเจ้าปัณฑุราชกษัตริย์เมืองปาตลีบุตรอัญเชิญพระทันตธาตุไปประดิษฐานในกรุงปาตลิบุตร เพราะว่าเมืองปาตลิบุตรเป็นเมืองใหญ่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เมืองนี้ตั้งอยู่ในแถบลุ่มแม่น้ำคงทางตอนเหนือของแคว้นกลิงคราษฎร์
เพื่อให้ชาวเมืองปาตลิบุตรที่เลื่อมใสศรัทธาได้สักการบูชาพระทันตธาตุชั่วขณะระยะเวลาหนึ่ง
พระเจ้าปัณฑุราชกษัตริย์เมืองปาตลิบุตรถูกพวกนับถือศาสนาพราหมณ์ไวศยะ
(พ่อค้า) พวกหนึ่งทูลยุยงให้นำพระทันตธาตุออกมาทดลองความศักดิ์สิทธิ์ด้วยวิธีการต่างๆ
อันเป็นวิธีการที่เหยียดหยาม
แต่ตามตำนานว่าพระทันตธาตุเกิดปาฎิหาริย์ชวนให้เลื่อมใสเป็นอัศจรรย์ยิ่งขึ้นทุกที และผลจากการทดลองครั้งนี้เองจึงทำให้พระเจ้าปัณฑุราชกษัตริย์เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า
พระองค์จึงทรงขับไล่พวกเดียรถีย์ที่เป็นตัวการยุยงและบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาออกไปจากเมืองปาตลิบุตร
พวกเดียรถีย์เมื่อถูกขับไล่ออกจากเมืองปาตลิบุตรก็ไปประจบประแจงพระเจ้าขีรธารราชกษัตริย์เมืองขันธบุรี
ทูลยุยงให้ไปโจมตีเมืองปาตลิบุตรเพื่อชิง พระทันตธาตุมาทำลายเสีย
แต่การยกทัพไปโจมตีกรุงปาตลิบุตรของพระเจ้าขีรธารราชกษัตริย์ครั้งนี้ถูกกองทัพของพระเจ้าปัณฑุราชกษัตริย์ตีแตกและพ่ายแพ้ พระเจ้าขีรธารราชกษัตริย์สิ้นพระชนม์ในที่สนามรบ
ต่อจากนั้นไม่นานพระเจ้าปัณฑุราชกษัตริย์ก็คืนพระทันตธาตุให้แก่พระเจ้าคูหาสิวะนำกลับไปประดิษฐานในเมืองทันตบุรีตามเดิม
เมื่อพระเจ้าคูหาสิวะนำพระทันตธาตุกลับไปประดิษฐาน
ณ กรุงทันตบุรีไม่นานนัก ท้าวอังกุลราชพระนัดดาของพระเจ้าขีรธารราชกษัตริย์ขึ้นเสวยราชย์สมบัติเป็นกษัตริย์เมืองขันธบุรีสืบต่อจากพระเจ้าขีรธารราชกษัตริย์ก็รวบรวมกำลังยกทัพมาตีเมืองทันตบุรีเป็นศึกใหญ่ พระเจ้าคูหาสิวะมีพระทัยปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะไม่ให้พระทันตธาตุตกไปอยู่ในมือข้าศึก
เพราะทรงทราบดีว่าข้าศึกเป็นคนนอกศาสนามีความต้องการพระทันตธาตุไปทำลาย
แต่เมื่อประมาณดูกำลังของข้าศึกแล้วทรงเห็นว่าไม่สามารถจะสู้กับกองกำลังของข้าศึกได้ พระเจ้าคูหาสิวะจึงมอบพระทันตธาตุให้แก่เจ้าชายทันตกุมารซึ่งเป็นราชบุตรเขยและเป็นราชบุตรของพระเจ้าอุชเชนิราชมีศักดิ์เป็นพระนัดดาของพระองค์และเจ้าหญิงเหมชาลาราชธิดา พระองค์ทรงรับสั่งว่าให้ทั้งสองพระองค์ช่วยกันนำพระทันตธาตุหลบหนีออกจากเมืองทันตบุรีไปถวายให้ถึงพระหัตถ์ของพระเจ้ากรุงลังกาให้จงได้
ครั้นเมื่อกรุงทันตบุรีแตก พระเจ้าคูหาสิวะสิ้นพระชนม์ในสนามรบ เจ้าชายทันตกุมารและเจ้าหญิงเหมชาลาจึงนำพาพระทันตธาตุหรือพระเขี้ยวแก้วหลบหนีลงเรือสำเภาหนีข้าศึกไปลังกา แต่เรือสำเภาโดยสารถูกพายุพัดมาทางฝั่งตะวันตกของแผ่นดินรูปด้ามขวานแห่งสุวรรณทวีปคือดินแดนภาคใต้ของประเทศไทยและในที่สุดเรือสำเภาแตกก็จมลง คลื่นซัดเจ้าชายและเจ้าหญิงรอดพระชนม์มาขึ้นฝั่งบนแผ่นดินส่วนนี้พร้อมด้วยพระทันตธาตุ เจ้าหญิงเหมมาลาทรงนำพระทันตธาตุ ซุกไว้ในมุ่นมวยผมมาตลอดเวลา ทั้งสององค์ได้เดินทางมาจากฝั่งทะเลด้านตะวันตกบุกป่าเดินทางข้ามแผ่นดินมาทางทิศตะวันออกจนบรรลุถึงฝั่งทะเลตรงกับหาดทรายแก้ว จึงได้ฝังซ่อนพระทันตธาตุไว้เกือบใจกลางของหาดทรายและทำสัญลักษณ์ไว้แล้วข้ามกลับไปอยู่ในหมู่บ้านริมฝั่งแผ่นดินใหญ่
โดยปิดบังฐานะอันแท้จริงของตนเองอย่างเข้มงวดอยู่หลายเดือนเพื่อรอโอกาสที่จะเดินทางกลับไปลังกาให้ปลอดภัย
ครั้นในเวลาต่อมาเจ้าชายทันตกุมารและเจ้าหญิงเหมชาลาได้พบกับพระภิกษุอรัญวาสีรูปหนึ่ง
ซึ่งตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราชมีชื่อว่ามหาเถรพรหมเทพ
ตามตำนานกล่าวว่ามหาพรหมเทพเป็นพระอรหันต์ท่องธุดงค์มาจากอินเดีย
เจ้าชายและเจ้าหญิงเลื่อมใสพระอรหันต์รูปนี้มากจึงได้เปิดเผยฐานะอันแท้จริงของตัวเองและเล่าเรื่องแต่หนหลังให้มหาเถรพรหมเทพทราบโดยตลอด พระอรหันต์รูปนี้ได้ช่วยเหลือเจ้าชายและเจ้าหญิงนำพระทันตธาตุเดินทางบกไปยังท่าเรือเมืองตรังฝั่งทะเลด้านทิศตะวันตก
ซึ่งในขณะนั้นเป็นท่าเรือที่สำคัญที่มีเรือขนาดใหญ่ไปมาค้าขายระหว่างเมืองต่างๆ
ในฝั่งทะเลทางทิศตะวันตก เช่น ลังกา อินเดียและอาหรับ เมื่อสืบทราบได้ความว่าเหตุการณ์ที่เมืองทันตบุรีสงบลงแล้วมหาเถรพรหมเทพได้นำเจ้าชายและเจ้าหญิงพร้อมกับ
พระทันตธาตุโดยสารเรือสำเภาค้าขายลำหนึ่งออกจากท่าเรือเมืองตรังไปยังลังกาโดยปลอดภัย
เมื่อเจ้าชายทันตกุมารกับเจ้าหญิงเหมมาลาเดินทางมาถึงเมืองลังกาก็เข้าเฝ้าพระเจ้ากฤตติสิริเมฆวันกษัตริย์กรุงลังกา ถวายพระทันตธาตุและกราบทูลเรื่องราวแต่หนหลัง
พระเจ้ากฤตติสิริเมฆวันทรงรับพระทันตธาตุด้วยความโสมนัสปราโมทย์ จัดพิธีสมโภชเป็นการใหญ่และประดิษฐานพระทันตธาตุไว้ในกรุงลังกาประมาณปี พ.ศ.
854
พระองค์ทรงพระราชดำริว่าหาดทรายแก้วซึ่งเป็นที่ฝั่งพระทันตธาตุชั่วระยะเวลาหนึ่งนั้นเป็นมงคลภูมิ
ทั้งในเวลานั้นก็มีคนไปพำนักอยู่อาศัยแล้วต่อไปในภายหน้าคงจะเป็นเมืองใหญ่ที่มั่นคง สมควรที่จะนำพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปประดิษฐานไว้ให้เป็นที่สักการบูชาของมหาชนสืบไป
พระเจ้ากฤตติสิริเมฆวันทรงจัดตั้งคณะธรรมทูตขึ้นคณะหนึ่ง ซึ่งนำโดยเจ้าชายทันตกุมารและเจ้าหญิงเหมมาลา เพื่ออัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับไปฝั่งไว้
ณ หาดทรายแก้ว ซึ่งเป็นสถานที่ที่เคยฝังซ่อนพระทันตธาตุ
คณะธรรมทูตได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจำนวนหนึ่งมุ่งหน้าไปสู่หาดทรายแก้ว
โดยการเดินทางด้วยเรือสำเภามาขึ้นฝั่งที่ท่าเรือเมืองตรังแล้วยกขบวนเดินบกจนมาถึงหาดทรายแก้ว
จึงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุซึ่งบรรจุผอบแก้วลงฝังไว้ ณ
ที่ร่องรอยเดิมที่เจ้าชายทันตกุมารและ เจ้าหญิงเหมมาลาเคยฝังพระทันตธาตุ โดยใช้ขันทองรองรับผอบอีกครั้งหนึ่งแล้วก่อพระเจดีย์องค์เล็กๆ
ครอบไว้อีกครั้งหนึ่งเพื่อเป็นเครื่องหมาย อธิษฐานเสี่ยงทายเอาพุทธบารมีผูกด้วยกาภาพยนตร์ขึ้นรักษา
และพระบรมสารีริกธาตุอีกส่วนหนึ่งได้อัญเชิญไปประดิษฐาน ณ ทันตบุรี แคว้นกลิงคราษฎร์ พระเจ้ากฤตติสิริเมฆวันทรงมีพระราชสารให้คณะธรรมทูตถือไปถวายกษัตริย์พระองค์ใหม่ของกรุงทันตบุรี
เพื่อขอให้ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุไว้แทนพระทันตธาตุ ณ
ที่ประดิษฐานเดิมและทรงขอร้องไม่ให้ทำอันตรายเจ้าชายและเจ้าหญิงเชื้อสายกษัตริย์เก่า
หาดทรายแก้วบริเวณฝังซ่อนพระทันตธาตุเดิมยังคงว่างเปล่า
แต่ด้านทิศเหนือและด้านทิศใต้ของหาดทรายรวมทั้งแผ่นดินใหญ่ น่าจะมีผู้คนตั้งหลักแหล่งอาศัยประปรายแล้ว
เพราะปรากฏหลักฐานจากหลายแหล่งว่า
แผ่นดินส่วนนี้เป็นแหล่งชุมชนเรือสำเภานานาชาติหรือท่าเรือที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งและดินแดนแห่งนี้เคยมีพระภิกษุอรัญวาสีจากดินแดนอื่นท่องธุดงค์ผ่านมามิได้ขาด
ประกอบกับคณะธรรมทูตจากลังกาที่มีเจ้าชายทันตกุมารและเจ้าหญิงเหมมาลานำพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาประดิษฐานไว้ ณ หาดทรายแก้วพร้อมทั้งก่อพระเจดีย์องค์เล็กๆ ครอบไว้ ซึ่งน่าจะกล่าวได้ว่าพระพุทธศาสนาได้เริ่มปักหลักลงแล้ว ณ
หาดทรายแก้วตั้งแต่ครั้งนั้นมา
อย่างไรก็ตามในระยะนั้นชุมชนแห่งนี้ยังไม่ได้ตั้งเป็นเมืองและไม่มีกษัตริย์ปกครอง
การรักษาพระบรมสารีริกธาตุนั้นตามตำนานกล่าวว่ามีกา
4 ฝูง ทั้งนี้เป็นไปตามสัญลักษณ์ของเมืองลังกา ซึ่งมีเรื่องเล่ากันว่าเกาะลังกาเป็นเกาะที่มีกาอาศัยอยู่ชุกชุมที่สุดในโลก
กาภาพยนตร์ที่รักษาพระบรมสารีริกธาตุที่หาดทรายแก้วมี 4 ฝูง คือ กาฝูงสีดำ เรียกว่า “กาเดิม”
หมายถึงกาที่มี ขนกายสีดำอันมีอยู่ตามธรรมชาติดั้งเดิม
กาฝูงสีแดงฝูงหนึ่งเรียกว่า “กาชาด” กาสีขาวฝูงหนึ่งเรียกว่า “กาแก้ว” และกาสีเหลืองฝูงหนึ่งเรียกว่า “การาม”
หมายถึงสงฆ์ โดยตำนานกล่าวว่ากาภาพยนตร์ ที่รักษาพระบรมสารีริกธาตุสี่พวกสี่เหล่านี้เอง
ต่อมาเมื่อมีสงฆ์ในพระพุทธศาสนาขึ้นในเมืองนครศรีธรรมราช ผู้ปกครองฝ่ายอาณาจักรและฝ่ายพุทธจักรได้นำมาจัดระเบียบปกครองสงฆ์ในนครศรีธรรมราชสืบมา
สรุปว่า พระทันตธาตุองค์นี้มีเรื่องปรากฏอยู่ในตำนานพระเขี้ยวแก้วและคัมภีร์ชินกาลมาลินีว่า
เขมภิกษุได้นำพระทันตธาตุออกมาในขณะถวายพระเพลิงพุทธสรีระขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นำมามอบให้แก่พระเจ้าพรหมทัตกษัตริย์เพื่อประดิษฐาน ณ เมืองทันตบุรียาวนานถึง 100
กว่าปี จนกระทั่งสมัยพระเจ้าคูหาสิวะได้มอบให้พระเจ้าปัณฑุราชกษัตริย์อัญเชิญ ไปประดิษฐาน ณ
กรุงปาตลีบุตรเพื่อให้ผู้คนสักการบูชา
พระทันตธาตุเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาอย่างมากหลังจากได้แสดงปาฏิหาริย์ออกมาเนื่องจากได้รับการท้าทายจากพวกนอกศาสนา
(พ่อค้า) หลังจากนั้นคนกลุ่มนี้ก็ถูกขับไล่ออกจากเมือง
ด้วยความแค้นพวกนอกศาสนาได้ยุยงพระเจ้าขีรธารกษัตริย์ ให้ทำสงครามกับเมืองปาตลีบุตร
แต่กลับพ่ายแพ้พระเจ้าขีรธารกษัตริย์สวรรคตในการศึก หลังจากนั้นพระเจ้าคูหาสิวะได้อัญเชิญพระทันตธาตุกลับ
ณ กรุงธันตบุรี ด้วยความแค้นพระนัดดาของพระเจ้า
ขีรธารกษัตริย์ได้ยกทัพมาตีเมืองทันตบุรีเพื่อแย่งชิงพระทันตธาตุ
พระเจ้าคูหาสิวะทราบดีว่าไม่สามารถสู้กำลังพลในศึกนี้ได้
จึงสั่งให้เจ้าชายทันตกุมารและเจ้าหญิงเหมชาลานำพระทันตธาตุหนี ออกจากเมืองไปจนกระทั่งมาถึงหาดทรายแก้ว
พระทันตธาตุถูกฝังซ่อนไว้ ณ หาดแห่งนี้โดยมีการผูกกาภาพยนตร์รักษาไว้
บรรณานุกรม
ดนัย ปรีชาเพิ่มประสิทธิ์.
ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกา. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,
2555.
ดิเรก พรตตะเสน.
“พระพุทธศาสนาในเมืองนครศรีธรรมราช”. ในรายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์ นครศรีธรรมราช ครั้งที่ 1.
พิมพ์ครั้งที่ 2. นครศรีธรรมราช : มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช, 2554.
ปรีชา
นุ่นสุข. พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช. นครศรีธรรมราช : กรุงสยามการพิมพ์, 2530.
ปรีชา นุ่นสุข.
“วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร”. ในนครศรีธรรมราช. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์,
2521.
ปรีชา นุ่นสุข. รายงานการวิจัยเรื่องประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในคาบสมุทรภาคใต้ของประเทศไทย. คณะกรรมการ วิจัยการศึกษา
การศาสนาและการวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ, 2544.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น