วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2561

คติความเชื่อการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช


บทความวิชาการลำดับที่ 15 
โดย พระครูวรวิริยคุณ (ปราโมทย์ กลิ่นละมัย)

เรื่อง “คติความเชื่อการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช”
            พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชเป็นปูชนียสถานที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  พุทธศาสนิกชนทั้งหลายถือกันว่าผู้ใดได้มาทำการสักการบูชาพระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้ย่อมเกิดความเป็นสิริมงคลทั้งแก่ตนเองและครอบครัวหาที่สุดมิได้  นอกจากนี้แล้วบรรดาพุทธศาสนิกชนชาวปักษ์ใต้ก็ถือว่าเป็นมงคลสูงสุดอย่างน้อยที่สุดก็ครั้งหนึ่งในชีวิตขอให้ได้มาสักการบูชาพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช
พระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้นับว่าเป็นพระเจดีย์องค์ใหญ่ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภาคใต้  ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช  ตามคติความเชื่อที่มีมาแต่โบราณว่าสูงตั้งแต่พื้นดินถึงยอด 37 วา 7 ศอก ยอดหุ้มด้วยทองคำหนัก 800 ชั่ง หรือประมาณ 216 กิโลกรัม (ส่วนที่หุ้มทองคำสูง 6 วา 2 ศอก 1 คืบ) บริเวณที่หุ้มทองคำนี้ยังมีทองรูปพรรณนานาชนิด เช่น พระพุทธรูป แหวน กำไล ต่างหู เป็นต้น  ผูกแขวนไว้ด้วยเส้นลวดทองอีกเป็นจำนวนมาก จัดเป็นพระเจดีย์ปูชนียวัตถุที่มีขนาดสูงใหญ่เป็นลำดับที่สองของประเทศไทย  ซึ่งมีความสูงเป็นรองลงมาจากพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม ซึ่งสูงประมาณ 60 วา หรือ 3 เส้นเศษ  ถ้าจะว่าถึงความเก่าแก่กันแล้วพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชเก่าแก่กว่าพระปฐมเจดีย์  
            พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชตามตำนานเมืองนครศรีธรรมราช ตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช และพระนิพพานโสตร กล่าวว่าพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงสร้างขึ้นเมื่อประมาณปีพุทธศักราช 1300  ในสมัยที่อาณาจักรศรีวิชัยกำลังมีอำนาจรุ่งเรืองอยู่ในแถบแหลมมลายู  หลักฐานทางโบราณคดียืนยันว่าเมืองนครศรีธรรมราชก็อยู่ในอาณาจักรศรีวิชัย  รูปทรงของพระบรมธาตุเจดีย์ซึ่งสร้างครั้งแรกจึงเป็นรูปแบบศิลปะศรีวิชัยเช่นเดียวกันกับพระบรมธาตุเมืองไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี  ต่อมาในประมาณพุทธศักราช 1700  พระเจ้าจันทรภาณุเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองเมืองนครศรีธรรมราช ในสมัยนั้นพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์กำลังเจริญรุ่งเรืองอย่างเต็มที่ในลังกา พระภิกษุจากประเทศใกล้เคียง เช่น ไทย พม่า ลาว เขมร เป็นต้น  ได้เดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนาในเกาะลังกาเป็นจำนวนมาก  จึงได้นำพระพุทธศาสนาตามแบบลังกามาเผยแผ่ในบ้านเมืองของตนรวมทั้งเมืองนครศรีธรรมราชที่ได้ชักชวนพระภิกษุชาวลังกาเดินทางมาถึงเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อพระภิกษุชาวลังกามาเห็นพระมหาธาตุเจดีย์องค์เก่าชำรุดทรุดโทรมจึงได้ช่วยกันบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ แต่มิได้ทำลายพระเจดีย์องค์เก่าเพียงแต่ก่อพระเจดีย์องค์ใหม่ตามแบบอย่างของศิลปะแบบลังกาหุ้มครอบพระเจดีย์องค์เดิมไว้ เช่นเดียวกันกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ก่อพระเจดีย์ครอบพระปฐมเจดีย์องค์เก่าไว้นั่นเอง  
            จากเอกสารตำนานเมืองนครศรีธรรมราช  ตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราชและพระนิพพานโสตร สามารถประมวลได้ว่ากำเนิดของพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเป็นผู้ทรงสร้างว่า พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชหรือโศกราชหรือธรรมโศกหรือศรีธรรมโศกหรือธรรมโศกราชแห่งเมืองเอาวราชหรืออวดีหรือสวัสดีราช พร้อมพระนนทราชาพระอนุชาได้ทรงอพยพผู้คนหนีไข้ห่าลงมาทางใต้  มาตั้งถิ่นฐานที่เขาชวาปราบ  เขาวังและลานตะกาหรือลานตอกาหรือ  ลานสกาในปัจจุบัน และหาดทรายแก้วตามลำดับ แม้ว่าจะทรงอพยพผู้คนหนีไข้ห่าบ่อยครั้งก็ไม่สามารถหนีไข้ห่าได้ จนต้องทำพิธีทำ “เงินตรา นโม” เพื่อแก้ไข้ห่าตามคำของพระอรหันต์ เมื่อทรงแก้ไข้ห่าได้สำเร็จก็รับสั่งให้เตรียมการขุดหาพระบรมสารีริกธาตุ ณ หาดทรายแก้ว โดยมีเจ้ากากภาษาจากเมืองโสมพิสัยเป็นผู้ช่วยเหลือในการแก้ภาพยนตร์ซึ่งเฝ้าอยู่ที่ตึกอันเป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ  นอกจากนี้เทวดาและท้าวนาคาได้ช่วยในการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและสร้างเมือง ณ หาดทรายแก้วจนสำเร็จ  
            ในการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชของพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชตำนานเมืองนครศรีธรรมราชและตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช  ตำนานทั้งสองนี้ได้สะท้อนให้เห็นตรงกันว่าเมืองขึ้นทั้ง 12 เมืองหรือเมืองสิบสองนักษัตรได้ “มาช่วยทำอิฐปูนก่อพระมหาธาตุขึ้น” แต่ต้องประสบกับปัญหาที่สำคัญคือ การเกิดไข้ห่าผู้คนล้มตายเมืองร้างอยู่เป็นเวลานาน ต่อมาได้สร้างพระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้สืบต่อมาดังความบางตอนในตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช ดังนี้
“จึงพระวิศณุกรรมช่วยพระญาก่อพระเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุนั้นไว้ แล้วตั้งเมืองสิบสองนักษัตรขึ้นแก่เมืองนครศรีธรรมราช  ปีชวดตั้งเมืองสายถือตราหนูหนึ่ง ปีฉลูเมืองตานีถือตราโคหนึ่ง  ปีขาลเมืองกะลันตันถือตราเสือหนึ่ง  ปีเถาะเมืองปาหังถือตรากระต่ายหนึ่ง  ปีมะโรงเมืองไทรถือตรางูใหญ่หนึ่ง ปีมะเส็งเมืองพัทลุงถือตรางูเล็กหนึ่ง  ปีมะเมียเมืองตรังถือตราม้าหนึ่ง ปีมะแมเมืองชุมพรถือตราแพะหนึ่ง  ปีวอกเมืองบันท้ายสมอถือตราลิงหนึ่ง ปีระกาเมืองอุเลาถือตราไก่หนึ่ง  ปีจอเมืองตะกั่วป่าถือตราสุนัขหนึ่ง ปีกุนเมืองกระถือตราหมูหนึ่ง เข้ากัน ๑๒ เมืองมาช่วยทำอิฐปูนก่อพระมหาธาตุขึ้นยังหาสำเร็จไม่”
            จากข้อความดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า หลังจากที่พระอินทร์ได้ทรงส่งพระวิษณุกรรมลงมาช่วยเหลือพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชในการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ทรงได้ตั้งเมืองขึ้นสิบสองนักษัตรคือ เมืองสายบุรี เมืองปัตตานี เมืองกลันตัน เมืองปาหัง เมืองไทรบุรี เมืองพัทลุง เมืองตรัง เมืองชุมพร เมืองบันท้ายสมอ เมืองสะอุเลา เมืองตะกั่วถลาง และเมืองกระบุรี เพื่อการก่อสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชแต่ก็ยังไม่สำเร็จ
            ในการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชของพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ได้มีหัวเมืองน้อยใหญ่ทั้งมวลได้มาช่วยเหลือ หากเมืองใดมาช่วยไม่ทันการก่อสร้างก็ได้ฝังทรัพย์สมบัติที่นำมาเป็นพุทธบูชาไว้ตามสถานที่ต่างๆ เช่น ตามถ้ำ เป็นต้น นอกจากนี้พระเจ้ากรุงลังกาและเจ้าเมืองหงสาก็ได้มาช่วยด้วย เพราะเห็นว่าเป็นพระญาติกัน ฝ่ายพระเจ้ากรุงลังกานั้นได้มาช่วยเหลือเพราะว่าทรงทราบจากพระพุทธทำนายไว้ว่าในปีศักราช 700 เศษ  พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชแห่งหาดทรายแก้วจะทรงแบ่งพระบรมสารีริกธาตุและสร้างพระบรมธาตุเจดีย์อีกโสดหนึ่ง
            จากการที่พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชสำเร็จจึงเป็นเหตุให้มีหัวเมืองน้อยใหญ่มากมายมาขึ้นในรูปของเมืองสิบสองนักษัตร ซึ่งทำให้พระเจ้าอู่ทองแห่งกรุงศรีอยุธยาทรงทราบข่าวนี้ด้วยความไม่พอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง  ทรงรับสั่งให้ราชทูตถือพระราชสาส์นมากราบทูลให้พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเข้าเฝ้า  แต่พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงไม่ยินยอมที่จะเข้าเฝ้าเพราะทรงเห็นว่าพระองค์มิได้อยู่ภายใต้อำนาจของท้าวอู่ทองแต่อย่างใด  จึงเป็นการไม่ถูกต้องที่จะทรงทำเช่นนั้น  ในที่สุดจึงได้เกิดศึกสงครามกันระหว่างพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชกับท้าวอู่ทอง  ทำให้ไพร่พลล้มตายเป็นจำนวนมาก  พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงรำพึงว่าพระองค์ทรงสร้างพระบรมธาตุเจดีย์สำเร็จนับเป็นกุศลมาก  จึงไม่ควรที่จะมาก่อเวรกรรมเพราะการศึกสงครามเช่นนี้ ทรงรับสั่งให้เจรจาสงบศึกแล้วแบ่งดินแดนกับท้าวอู่ทองและได้สัญญาเป็นมิตรไมตรีต่อกันสืบไป
            พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชองค์นี้มีความโดดเด่นของเมืองนครศรีธรรมราช โดยสัญลักษณ์ที่มีความโดดเด่นมากที่สุดและมองเห็นได้จนกระทั่งปัจจุบันคือ อิทธิพลของพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์จากศรีลังกาภายในอาณาจักรนครศรีธรรมราช ที่มักจะเรียกโดยทั่วไปว่า “สถูปทรงลังกา”หรือ “เจดีย์ทรงลังกา” ซึ่งเป็นสถูปที่ได้ปรากฏขึ้นอย่างแพร่กระจายทั่วทั้งอาณาจักรนครศรีธรรมราชหรือคาบสมุทรสยามหรือคาบสมุทรไทย และยังปรากฏวิวัฒนาการของสถูปแบบนี้สืบเนื่องมาบนคาบสมุทรแห่งนี้มาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน  โดยสถูปเหล่านี้ส่วนใหญ่สร้างเลียนแบบสถูปที่เรียกว่า “พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช” ที่ประดิษฐานอยู่ภายในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
            การสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชองค์นี้ ได้สร้างขึ้นตามคติความเชื่อเรื่องไตรภูมิและศิลปะแบบลังกา คติความเชื่อเรื่องไตรภูมิเป็นความเชื่อในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและพระพุทธศาสนาที่มีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางของจักรวาลหรือเป็นภูเขาหลักของโลกซึ่งตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางของโลกหรือจักรวาล  สถานที่แห่งนี้เป็นที่อยู่ของสิ่งมีวิญญาณในภพและภูมิต่างๆ เช่น สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ นาค ครุฑ ยักษ์ มาร คนธรรพ์ ฤๅษี และเทวดา  โดยมีปลาอานนท์หนุนอยู่รอบๆ เขาพระสุเมรุ
            ตำนานประวัติศาสตร์เมืองนครศรีธรรมราชกล่าวว่า พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชพระองค์ก่อนทรงเป็นผู้สร้างพระเจดีย์องค์นี้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ไว้บนหาดทรายแก้ว  เมื่อประมาณปี พ.ศ.1300  ตรงกับสมัยศรีวิชัย  ซึ่งสันนิษฐานกันว่าจะมีลักษณะคล้ายคลึงกันกับ   พระบรมธาตุไชยา อำเภอไชยา  จังหวัดสุราษฎร์ธานี  มีสระน้ำล้อมรอบองค์พระเจดีย์ซึ่งก็ตรงกันกับคติความเชื่อที่มีมาแต่โบราณที่เชื่อว่าภายใต้องค์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชในบริเวณฐานของพระบรมธาตุเจดีย์มีสระน้ำขนาดกว้างยาว 4 วา ลึก 5 วา รองด้วยหินก้อนใหญ่และฉาบทาด้วยปูนเพชร  ภายในสระน้ำใหญ่มีสระน้ำเล็กขนาดกว้างยาว 2 วา ลึก 2 วา และมีขันทองลอยน้ำอยู่ ซึ่งภายในขันทองนั้นบรรจุผอบทองที่มีพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์  การสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ที่มีน้ำล้อมรอบอย่างพระบรมธาตุไชยา  พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชหรือการสร้างเมืองนครศรีธรรมราชที่มีคูน้ำล้อมรอบ  อันเป็นการแสดงถึงความเป็นศูนย์กลางของจักรวาลที่มีมหานทีสีทันดรล้อมรอบ  ต่อมาเมื่อประมาณปี พ.ศ. 1700 พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชจันทรภานุศรีธรรมราชกษัตริย์ผู้ครองเมืองนครศรีธรรมราชทรงได้บูรณปฏิสังขรณ์พระธาตุเจดีย์ขึ้นมาใหม่ครอบลงบนองค์เดิมตามศิลปะลังกาที่มีคติความเชื่อเรื่องไตรภูมิ
            คติความเชื่อเรื่องไตรภูมิหรือไตรโลกที่มีมาลัยเถาหรือมาลัยลูกแก้วสามชั้นที่บริเวณปากระฆังรองรับองค์ระฆัง มาลัยชั้นที่ 1 หมายถึง กามภูมิ มาลัยชั้นที่ 2 หมายถึง รูปภูมิ และชั้นที่ 3 หมายถึง อรูปภูมิ ภายในวิหารมหาภิเนษกรมณ์หรือวิหารพระม้า ซึ่งเป็นบันไดทางขึ้นสู่ลานประทักษิณขององค์พระบรมธาตุเจดีย์  มีการสร้างเป็นป่าหิมพานต์ให้เป็นสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราช อันเป็นสวรรค์ชั้นที่ 1  ในจำนวนสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาพระสุเมรุ  ซึ่งเป็นแดนที่อยู่ของท้าวมหาราชทั้ง 4  ผู้ซึ่งรักษาคุ้มครองโลก ได้แก่ ท้าวธตรฐ รักษาคุ้มครองโลกด้านตะวันออกทำหน้าที่ปกครองคนธรรพ์  ท้าววิรุฬหก รักษาคุ้มครองโลกด้านทิศใต้ทำหน้าที่ปกครองกุมภัณฑ์ ท้าววิรูปักรักษาคุ้มครองโลกด้านตะวันตกทำหน้าที่ปกครองพญานาคและท้าวกุเวรหรือท้าวเวสสุวรรณ รักษาคุ้มครองโลกด้านเหนือทำหน้าที่ปกครองยักษ์  ส่วนลานประทักษิณและองค์พระบรมธาตุเจดีย์เป็นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  มีองค์พระบรมธาตุเจดีย์เป็นยอดเขาพระสุเมรุ บนยอดเขาพระสุเมรุคือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีเทพนครชื่อว่านครไตรตรึงษ์  มีพระอินทร์เทวราชเป็นผู้ปกครองทำหน้าที่อภิบาลและพิทักษ์คุณธรรมให้แก่มนุษย์  สวรรค์ชั้นนี้จึงเป็นที่ประทับของเทพทั้ง 33 องค์ ปล้องไฉนที่อยู่เหนือเสาหานและพระเวียนมีจำนวน 33 ปล้อง  อันเป็นคติความเชื่อที่เกี่ยวกับที่ประทับของเทพ 33 องค์ ปทุมโกศมีลักษณะเป็นรูปบัวคว่ำบัวหงาย  โดยหุ้มด้วยทองคำตั้งแต่ส่วนนี้ไปจนถึงปลายสุดที่เรียกว่า “ปลียอดทองคำ” ส่วนนี้อาจหมายถึงเจดีย์จุฬามณีที่ประดิษฐานพระเกศธาตุและพระเขี้ยวแก้ว  ซึ่งพระอินทร์สร้างไว้บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
            ในช่วงระยะเวลาที่พระพุทธศาสนาลังกาวงศ์รุ่งโรจน์ขึ้นในเมืองนครศรีธรรมราชนั้นได้มีการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่บริเวณหาดทรายแก้วอันเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ของความศักดิ์สิทธิ์และศูนย์กลางของอาณาจักรนครศรีธรรมราช  ศูนย์กลางแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรนี้ได้กลับกลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรที่แพร่กระจายไปปรากฏขึ้นในสถานที่ต่างๆ ภายในอาณาจักรที่มีสภาพภูมิประเทศศักดิ์สิทธิ์รองลงมาจากหาดทรายแก้ว ในปัจจุบันนี้ยังคงปรากฏสถูปดังกล่าวอยู่หลายแห่ง  
            สถูปที่สำคัญแห่งแรก ได้แก่ พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช เป็นสถูปทรงลังกาขนาดสูงประมาณ 77 เมตร  เส้นผ่าศูนย์กลางที่ฐาน 22.98 เมตร ยอดหุ้มด้วยทองคำสูง 8.294 เมตร  สร้างด้วยรูปแบบสถูปทรงลังกา  จากรูปแบบทางศิลปะที่ปรากฏในปัจจุบันมีอายุอยู่ในประมาณพุทธศตวรรษที่ 17-18  ตำนานได้กล่าวว่า มีการสร้างสถูปองค์นี้เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์เหมือนอย่างเจดีย์ในอินเดีย ศรีลังกาและดินแดนอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้ว่าสถูปองค์นี้จะได้รับการบูรณะมาแล้วหลายครั้ง แต่ยังคงแสดงให้เห็นว่าในขั้นต้นคงจะได้รับอิทธิพลจากต้นแบบที่เป็นสถูปในศิลปะแบบโปโลนนารุวะของศรีลังกา โดยเฉพาะสถูปกิริเวเหระ (Kirivehera) ในโปโลนนารุวะเมืองหลวงเก่าของศรีลังกา
            พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชเป็นสถูปที่ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส โดยรอบฐานมีการแบ่งเป็นช่องๆ แต่ละช่องมีช้างโผล่ส่วนหัวออกมา  โดยระหว่างซุ้มหัวช้างเหล่านี้มีซุ้มเรือนแก้วที่ภายในเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นประดิษฐานอยู่  ส่วนฐานนี้ได้รับการสร้างหลังคาคลุมไว้โดยรอบเรียกว่า “ทับเกษตร” ถัดขึ้นไปทางด้านบนเป็นส่วนของลานประทักษิณที่ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วมีบันไดทางขึ้นสู่ลานประทักษิณตั้งอยู่ทางทิศเหนือคือ ตั้งอยู่ภายในวิหารพระทรงม้าที่มุมทั้งสี่ของลานประทักษิณมีสถูปจำลองทรงลังกาสร้างไว้มุมละองค์  ตรงกลางลานประทักษิณเป็นส่วนของปากระฆังของสถูปองค์นี้ โดยปากระฆังติดกับพื้นลานประทักษิณ  ถัดขึ้นไปเป็นส่วนองค์ระฆังทรงกลมที่มีปากระฆังผายออกเล็กน้อยเหนือองค์ระฆังเป็นบัลลังก์รูปสี่เหลี่ยมทรงสูง  ด้านข้างบัลลังก์แต่ละข้างมีเสาประดับอยู่สลับกันกับช่องว่างเป็นช่องๆ ด้านบนของบัลลังก์ผายออก ตรงกลางบัลลังก์เป็นเสาหานประดับอยู่เป็นรูปวงกลมจำนวน 8 ต้น  เสาแต่ละต้นประดิษฐานพระอรหันต์ปูนปั้นต้นละองค์  ถัดขึ้นไปทาง  ด้านบนเป็นส่วนยอดของสถูปที่ทำเป็นรูปวงกลมเป็นปล้องๆ เรียกว่า “ปล้องไฉน” จนกระทั่งถึง   ประทุมโกศทำเป็นรูปบัวคว่ำบัวหาย  โดยหุ้มด้วยทองคำตั้งแต่ส่วนนี้ไปจนถึงปลายยอดสุดที่เรียกว่า “ปลียอดทองคำ”  
            แห่งที่สอง สถูปวัดเจดีย์งาม  เป็นสถูปที่ประดิษฐานอยู่ในบริเวณวัดเจดีย์งาม ตำบลบ่อตรุ อำเภอระโนด  จังหวัดสงขลา  เป็นรูปทรงลังกาที่ตั้งอยู่บนฐานสูงคล้ายมณฑป  แม้ว่าจะได้รับอิทธิพลจากสถูปในศิลปะศรีวิชัยอยู่บ้าง แต่ก็ได้มีการบูรณะมาแล้วหลายครั้งจนเค้าเดิมปรากฏอยู่น้อยและได้รับอิทธิพลจากพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชเป็นส่วนใหญ่ 
            แห่งที่สาม สถูปวัดสวี เป็นสถูปที่ประดิษฐานอยู่ภายในวัดสวี ตำบลสวี อำเภอสวี จังหวัดชุมพร เป็นสถูปที่สร้างขึ้นโดยอาศัยรูปแบบของพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช 
            แห่งที่สี่ เจดีย์ยักษ์ เป็นสถูปที่ประดิษฐานอยู่ภายในวัดเจดีย์ยักษ์ (ร้าง) ภายในเขตเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ถนนราชดำเนิน  ตำบลท่าวัง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นสถูปทรงลังกาที่มีขนาดใหญ่ มีฐานสูงรูปสี่เหลี่ยม  ถัดขึ้นไปเป็นปากระฆังที่มีการสร้างเป็นลวดบัวทรงกลมซ้อนกันหลายชั้น  ถัดขึ้นไปเป็นองค์ระฆังทรงสูง เหนือขึ้นไปเป็นบัลลังก์รูปสี่เหลี่ยม เสาหาน ปล้องไฉนและส่วนยอดที่เรียวแหลม  โดยส่วนยอดสุดหักไป 
            แห่งที่ห้า สถูปวัดเขียนบางแก้ว เป็นสถูปที่ประดิษฐานอยู่ภายในวัดเขียนบางแก้ว ตำบลจองถนน  อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง เป็นสถูปที่ได้รับอิทธิพลมาจากพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช  ฐานเป็นรูปแปดเหลี่ยม  ฐานสูง บริเวณฐานมีซุ้มพระพุทธรูป  ระหว่างซุ้มมีช้างโผล่หัวออกมา เหนือส่วนฐานขึ้นไปเป็นรูปคล้ายคลึงกันกับพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชและเป็นสถูปที่ได้รับการบูรณะมาแล้วหลายครั้ง
             แห่งที่หก สถูปวัดจะทิ้งพระ เป็นสถูปที่ประดิษฐานอยู่ภายในวัดจะทิ้งพระ ตำบลจะทิ้งพระ อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา เป็นสถูปที่มีรูปแบบคล้ายคลึงกันกับพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช  แต่มีการบูรณะหลายครั้งจนรูปแบบเปลี่ยนแปลงลงไปมากในระยะหลัง  ทางด้านใต้ของสถูปองค์ใหญ่มีสถูปทรงกลมเล็กๆ เรียงรายอยู่หลายองค์
            แห่งที่เจ็ด สถูปวัดพะโคะ เป็นสถูปที่ตั้งอยู่บนเนินเขาภายในวัดพะโคะ ตำบลชุมพล อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา เป็นสถูปทรงลังกา ตั้งอยู่บนฐานรูปสี่เหลี่ยม มีช้างล้อม ส่วนฐานมีลานประทักษิณเรียงกันขึ้นไปเป็นชั้นๆ จำนวน 3 ชั้น และมีสถูปจำลองอยู่ที่มุมทั้งสี่ของลานประทักษิณ แผนผังโดยรวมมีความคล้ายคลึงกันกับพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช  
            นอกจากนี้แล้วผู้ช่วยศาสตราจารย์ปรีชา นุ่นสุข จากสถาบันราชภัฏนครศรีธรรมราชได้กล่าวไว้ในเอกสารประกอบการอบรมพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าสู่ระบบงานในองค์การกองงานเฉพาะบูรณปฏิสังขรณ์ปลียอดทองคำพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช ในหลักสูตร ความรู้เบื้องต้นเฉพาะผู้ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการบูรณปฏิสังขรณ์ปลียอดทองคำพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช รุ่นที่ 1 ณ หอสมุดแห่งชาตินครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 18-21 พฤษภาคม พ.ศ.2537 ความตอนหนึ่งว่า
    “… พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชองค์ปัจจุบันมีหลักฐานทางโบราณคดียืนยัน ได้ว่าได้ให้อิทธิพลทางสถาปัตยกรรมแก่พระเจดีย์ทรงลังกาทั้งมวลในภาคใต้ เช่น เจดีย์ที่วัดพะโคะ อำเภอสทิงพระ เจดีย์ที่วัดจะทิ้งพระ อำเภอสทิงพระ และเจดีย์ที่วัดเจดีย์งาม อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา เจดีย์ที่วัดตะเขียน ตำบลบางแก้ว จังหวัดพัทลุง เป็นต้น
    ส่วนในภาคกลางนอกจากเจดีย์หลายองค์ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจะได้รับอิทธิพลจากพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชแล้ว เจดีย์อีกหลายองค์ในกำแพงเพชรและสุโขทัยก็ได้รับอิทธิพลจากพระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้ เช่น เจดีย์วัดศรีพิจิตรกิรกิติกัลยาราม อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย เจดีย์ที่วัดช้างรอบ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร เจดีย์ที่วัดช้างล้อม  อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัยและเจดีย์วัดช้างล้อม วัดสรศักดิ์ อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย เป็นต้น ในทำนองเดียวกันเจดีย์หลายองค์ในภาคเหนือก็ได้รับอิทธิพลจากพระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้ เช่น เจดีย์ที่วัดสวนดอก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เจดีย์ที่วัดอุโมงค์อารยมณฑล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่และเจดีย์ที่วัดป่าแดงหลวง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น
            สรุปว่า พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชเป็นปูชนียสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ตำนานกล่าวว่า พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงสร้างเมืองและสร้างพระบรมธาตุเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุบนหาดทรายแก้ว รูปทรงของพระบรมธาตุเจดีย์ที่สร้างในครั้งนั้นอาจเป็นรูปแบบศิลปะศรีวิชัยเช่นเดียวกับพระบรมธาตุไชยา ต่อมาพระเจ้าจันทรภานุศรีธรรมราช ทรงบูรณะและเสริมสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ให้เป็นศิลปะลังกาครอบเจดีย์องค์เดิมและมีการบูรณะเสริมสร้างตลอดมา การสร้างพระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้สร้างตามคติความเชื่อเรื่องไตรภูมิและศิลปะแบบลังกาในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและพระพุทธศาสนาที่มีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางของจักรวาล  โดยการจำลองทางขึ้นลานประทักษิณให้เป็นสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชและป่าหิมพานต์ พระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้จึงเป็นศูนย์กลางเมือง ศูนย์กลางพระพุทธศาสนาและสัญลักษณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ที่มีอิทธิพลต่อเจดีย์ในภาคใต้ ภาคกลางและภาคเหนือ
บรรณานุกรม
ชวน เพชรแก้ว และปรีชา นุ่นสุข. กำแพงเมืองมรดกทางวัฒนธรรมของชาวนคร. สงขลา : วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช, 2520.
ปรีชา นุ่นสุข. พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช. กรุงเทพมหานคร : กรุงสยามการพิมพ์, 2530.
ปรีชา นุ่นสุข. รายงานการวิจัยเรื่องประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในคาบสมุทรภาคใต้ของประเทศ
ไทย. คณะกรรมการวิจัยการศึกษา การศาสนาและการวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ, 2544.
พระครูปลัดวิริยวัฒน์. “วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร นครศรีธรรมราช”. ในที่ระลึกในการถวายผ้ากฐินพระราชทาน ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช. กรุงเทพมหานคร : กรมชลประทานกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ, 2509.
พระครูวรวิริยคุณ. “พระพุทธศาสนาลังกาวงศ์กับการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช”.  นครศรีธรรมราช 43, 11 (ตุลาคม 2556) : 44.
ยงยุทธ วรรณโกวิท. ทองคำที่ใช้ในการบูรณปฏิสังขรณ์ปลียอดทองคำพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช  
วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ระหว่าง พ.ศ.2537-2538. กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, 2541.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น