บทความวิชาการลำดับที่ 15
โดย พระครูวรวิริยคุณ (ปราโมทย์ กลิ่นละมัย)
เรื่อง “คติความเชื่อการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช”
พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชเป็นปูชนียสถานที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และพระพุทธศาสนา
ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธศาสนิกชนทั้งหลายถือกันว่าผู้ใดได้มาทำการสักการบูชาพระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้ย่อมเกิดความเป็นสิริมงคลทั้งแก่ตนเองและครอบครัวหาที่สุดมิได้
นอกจากนี้แล้วบรรดาพุทธศาสนิกชนชาวปักษ์ใต้ก็ถือว่าเป็นมงคลสูงสุดอย่างน้อยที่สุดก็ครั้งหนึ่งในชีวิตขอให้ได้มาสักการบูชาพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช
พระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้นับว่าเป็นพระเจดีย์องค์ใหญ่ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภาคใต้ ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
ตามคติความเชื่อที่มีมาแต่โบราณว่าสูงตั้งแต่พื้นดินถึงยอด 37 วา 7 ศอก
ยอดหุ้มด้วยทองคำหนัก 800 ชั่ง หรือประมาณ 216 กิโลกรัม (ส่วนที่หุ้มทองคำสูง 6 วา
2 ศอก 1 คืบ) บริเวณที่หุ้มทองคำนี้ยังมีทองรูปพรรณนานาชนิด เช่น พระพุทธรูป แหวน
กำไล ต่างหู เป็นต้น
ผูกแขวนไว้ด้วยเส้นลวดทองอีกเป็นจำนวนมาก จัดเป็นพระเจดีย์ปูชนียวัตถุที่มีขนาดสูงใหญ่เป็นลำดับที่สองของประเทศไทย ซึ่งมีความสูงเป็นรองลงมาจากพระปฐมเจดีย์
จังหวัดนครปฐม ซึ่งสูงประมาณ 60 วา หรือ 3 เส้นเศษ
ถ้าจะว่าถึงความเก่าแก่กันแล้วพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชเก่าแก่กว่าพระปฐมเจดีย์
พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชตามตำนานเมืองนครศรีธรรมราช
ตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช และพระนิพพานโสตร
กล่าวว่าพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงสร้างขึ้นเมื่อประมาณปีพุทธศักราช 1300 ในสมัยที่อาณาจักรศรีวิชัยกำลังมีอำนาจรุ่งเรืองอยู่ในแถบแหลมมลายู หลักฐานทางโบราณคดียืนยันว่าเมืองนครศรีธรรมราชก็อยู่ในอาณาจักรศรีวิชัย รูปทรงของพระบรมธาตุเจดีย์ซึ่งสร้างครั้งแรกจึงเป็นรูปแบบศิลปะศรีวิชัยเช่นเดียวกันกับพระบรมธาตุเมืองไชยา
จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ต่อมาในประมาณพุทธศักราช 1700
พระเจ้าจันทรภาณุเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองเมืองนครศรีธรรมราช
ในสมัยนั้นพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์กำลังเจริญรุ่งเรืองอย่างเต็มที่ในลังกา พระภิกษุจากประเทศใกล้เคียง
เช่น ไทย พม่า ลาว เขมร เป็นต้น
ได้เดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนาในเกาะลังกาเป็นจำนวนมาก จึงได้นำพระพุทธศาสนาตามแบบลังกามาเผยแผ่ในบ้านเมืองของตนรวมทั้งเมืองนครศรีธรรมราชที่ได้ชักชวนพระภิกษุชาวลังกาเดินทางมาถึงเมืองนครศรีธรรมราช
เมื่อพระภิกษุชาวลังกามาเห็นพระมหาธาตุเจดีย์องค์เก่าชำรุดทรุดโทรมจึงได้ช่วยกันบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่
แต่มิได้ทำลายพระเจดีย์องค์เก่าเพียงแต่ก่อพระเจดีย์องค์ใหม่ตามแบบอย่างของศิลปะแบบลังกาหุ้มครอบพระเจดีย์องค์เดิมไว้
เช่นเดียวกันกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ก่อพระเจดีย์ครอบพระปฐมเจดีย์องค์เก่าไว้นั่นเอง
จากเอกสารตำนานเมืองนครศรีธรรมราช ตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราชและพระนิพพานโสตร
สามารถประมวลได้ว่ากำเนิดของพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเป็นผู้ทรงสร้างว่า
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชหรือโศกราชหรือธรรมโศกหรือศรีธรรมโศกหรือธรรมโศกราชแห่งเมืองเอาวราชหรืออวดีหรือสวัสดีราช
พร้อมพระนนทราชาพระอนุชาได้ทรงอพยพผู้คนหนีไข้ห่าลงมาทางใต้ มาตั้งถิ่นฐานที่เขาชวาปราบ เขาวังและลานตะกาหรือลานตอกาหรือ ลานสกาในปัจจุบัน และหาดทรายแก้วตามลำดับ
แม้ว่าจะทรงอพยพผู้คนหนีไข้ห่าบ่อยครั้งก็ไม่สามารถหนีไข้ห่าได้ จนต้องทำพิธีทำ
“เงินตรา นโม” เพื่อแก้ไข้ห่าตามคำของพระอรหันต์
เมื่อทรงแก้ไข้ห่าได้สำเร็จก็รับสั่งให้เตรียมการขุดหาพระบรมสารีริกธาตุ ณ
หาดทรายแก้ว โดยมีเจ้ากากภาษาจากเมืองโสมพิสัยเป็นผู้ช่วยเหลือในการแก้ภาพยนตร์ซึ่งเฝ้าอยู่ที่ตึกอันเป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ
นอกจากนี้เทวดาและท้าวนาคาได้ช่วยในการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและสร้างเมือง
ณ หาดทรายแก้วจนสำเร็จ
ในการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชของพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชตำนานเมืองนครศรีธรรมราชและตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช ตำนานทั้งสองนี้ได้สะท้อนให้เห็นตรงกันว่าเมืองขึ้นทั้ง
12 เมืองหรือเมืองสิบสองนักษัตรได้ “มาช่วยทำอิฐปูนก่อพระมหาธาตุขึ้น” แต่ต้องประสบกับปัญหาที่สำคัญคือ
การเกิดไข้ห่าผู้คนล้มตายเมืองร้างอยู่เป็นเวลานาน ต่อมาได้สร้างพระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้สืบต่อมาดังความบางตอนในตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช
ดังนี้
“จึงพระวิศณุกรรมช่วยพระญาก่อพระเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุนั้นไว้
แล้วตั้งเมืองสิบสองนักษัตรขึ้นแก่เมืองนครศรีธรรมราช ปีชวดตั้งเมืองสายถือตราหนูหนึ่ง
ปีฉลูเมืองตานีถือตราโคหนึ่ง
ปีขาลเมืองกะลันตันถือตราเสือหนึ่ง
ปีเถาะเมืองปาหังถือตรากระต่ายหนึ่ง
ปีมะโรงเมืองไทรถือตรางูใหญ่หนึ่ง ปีมะเส็งเมืองพัทลุงถือตรางูเล็กหนึ่ง ปีมะเมียเมืองตรังถือตราม้าหนึ่ง
ปีมะแมเมืองชุมพรถือตราแพะหนึ่ง
ปีวอกเมืองบันท้ายสมอถือตราลิงหนึ่ง ปีระกาเมืองอุเลาถือตราไก่หนึ่ง ปีจอเมืองตะกั่วป่าถือตราสุนัขหนึ่ง
ปีกุนเมืองกระถือตราหมูหนึ่ง เข้ากัน ๑๒ เมืองมาช่วยทำอิฐปูนก่อพระมหาธาตุขึ้นยังหาสำเร็จไม่”
จากข้อความดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า หลังจากที่พระอินทร์ได้ทรงส่งพระวิษณุกรรมลงมาช่วยเหลือพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชในการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ทรงได้ตั้งเมืองขึ้นสิบสองนักษัตรคือ เมืองสายบุรี
เมืองปัตตานี เมืองกลันตัน เมืองปาหัง เมืองไทรบุรี เมืองพัทลุง เมืองตรัง
เมืองชุมพร เมืองบันท้ายสมอ เมืองสะอุเลา เมืองตะกั่วถลาง และเมืองกระบุรี
เพื่อการก่อสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชแต่ก็ยังไม่สำเร็จ
ในการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชของพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช
ได้มีหัวเมืองน้อยใหญ่ทั้งมวลได้มาช่วยเหลือ หากเมืองใดมาช่วยไม่ทันการก่อสร้างก็ได้ฝังทรัพย์สมบัติที่นำมาเป็นพุทธบูชาไว้ตามสถานที่ต่างๆ
เช่น ตามถ้ำ เป็นต้น นอกจากนี้พระเจ้ากรุงลังกาและเจ้าเมืองหงสาก็ได้มาช่วยด้วย
เพราะเห็นว่าเป็นพระญาติกัน
ฝ่ายพระเจ้ากรุงลังกานั้นได้มาช่วยเหลือเพราะว่าทรงทราบจากพระพุทธทำนายไว้ว่าในปีศักราช
700 เศษ พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชแห่งหาดทรายแก้วจะทรงแบ่งพระบรมสารีริกธาตุและสร้างพระบรมธาตุเจดีย์อีกโสดหนึ่ง
จากการที่พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชสำเร็จจึงเป็นเหตุให้มีหัวเมืองน้อยใหญ่มากมายมาขึ้นในรูปของเมืองสิบสองนักษัตร
ซึ่งทำให้พระเจ้าอู่ทองแห่งกรุงศรีอยุธยาทรงทราบข่าวนี้ด้วยความไม่พอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงรับสั่งให้ราชทูตถือพระราชสาส์นมากราบทูลให้พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเข้าเฝ้า แต่พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงไม่ยินยอมที่จะเข้าเฝ้าเพราะทรงเห็นว่าพระองค์มิได้อยู่ภายใต้อำนาจของท้าวอู่ทองแต่อย่างใด จึงเป็นการไม่ถูกต้องที่จะทรงทำเช่นนั้น ในที่สุดจึงได้เกิดศึกสงครามกันระหว่างพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชกับท้าวอู่ทอง ทำให้ไพร่พลล้มตายเป็นจำนวนมาก
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงรำพึงว่าพระองค์ทรงสร้างพระบรมธาตุเจดีย์สำเร็จนับเป็นกุศลมาก
จึงไม่ควรที่จะมาก่อเวรกรรมเพราะการศึกสงครามเช่นนี้ ทรงรับสั่งให้เจรจาสงบศึกแล้วแบ่งดินแดนกับท้าวอู่ทองและได้สัญญาเป็นมิตรไมตรีต่อกันสืบไป
พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชองค์นี้มีความโดดเด่นของเมืองนครศรีธรรมราช
โดยสัญลักษณ์ที่มีความโดดเด่นมากที่สุดและมองเห็นได้จนกระทั่งปัจจุบันคือ อิทธิพลของพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์จากศรีลังกาภายในอาณาจักรนครศรีธรรมราช
ที่มักจะเรียกโดยทั่วไปว่า “สถูปทรงลังกา”หรือ “เจดีย์ทรงลังกา”
ซึ่งเป็นสถูปที่ได้ปรากฏขึ้นอย่างแพร่กระจายทั่วทั้งอาณาจักรนครศรีธรรมราชหรือคาบสมุทรสยามหรือคาบสมุทรไทย
และยังปรากฏวิวัฒนาการของสถูปแบบนี้สืบเนื่องมาบนคาบสมุทรแห่งนี้มาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน โดยสถูปเหล่านี้ส่วนใหญ่สร้างเลียนแบบสถูปที่เรียกว่า
“พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช” ที่ประดิษฐานอยู่ภายในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
การสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชองค์นี้
ได้สร้างขึ้นตามคติความเชื่อเรื่องไตรภูมิและศิลปะแบบลังกา
คติความเชื่อเรื่องไตรภูมิเป็นความเชื่อในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและพระพุทธศาสนาที่มีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางของจักรวาลหรือเป็นภูเขาหลักของโลกซึ่งตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางของโลกหรือจักรวาล
สถานที่แห่งนี้เป็นที่อยู่ของสิ่งมีวิญญาณในภพและภูมิต่างๆ
เช่น สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ นาค ครุฑ ยักษ์ มาร คนธรรพ์ ฤๅษี และเทวดา โดยมีปลาอานนท์หนุนอยู่รอบๆ เขาพระสุเมรุ
ตำนานประวัติศาสตร์เมืองนครศรีธรรมราชกล่าวว่า
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชพระองค์ก่อนทรงเป็นผู้สร้างพระเจดีย์องค์นี้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ไว้บนหาดทรายแก้ว เมื่อประมาณปี พ.ศ.1300 ตรงกับสมัยศรีวิชัย ซึ่งสันนิษฐานกันว่าจะมีลักษณะคล้ายคลึงกันกับ พระบรมธาตุไชยา อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
มีสระน้ำล้อมรอบองค์พระเจดีย์ซึ่งก็ตรงกันกับคติความเชื่อที่มีมาแต่โบราณที่เชื่อว่าภายใต้องค์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชในบริเวณฐานของพระบรมธาตุเจดีย์มีสระน้ำขนาดกว้างยาว
4 วา ลึก 5 วา รองด้วยหินก้อนใหญ่และฉาบทาด้วยปูนเพชร ภายในสระน้ำใหญ่มีสระน้ำเล็กขนาดกว้างยาว 2 วา
ลึก 2 วา และมีขันทองลอยน้ำอยู่
ซึ่งภายในขันทองนั้นบรรจุผอบทองที่มีพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์
การสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ที่มีน้ำล้อมรอบอย่างพระบรมธาตุไชยา พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชหรือการสร้างเมืองนครศรีธรรมราชที่มีคูน้ำล้อมรอบ
อันเป็นการแสดงถึงความเป็นศูนย์กลางของจักรวาลที่มีมหานทีสีทันดรล้อมรอบ ต่อมาเมื่อประมาณปี พ.ศ. 1700
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชจันทรภานุศรีธรรมราชกษัตริย์ผู้ครองเมืองนครศรีธรรมราชทรงได้บูรณปฏิสังขรณ์พระธาตุเจดีย์ขึ้นมาใหม่ครอบลงบนองค์เดิมตามศิลปะลังกาที่มีคติความเชื่อเรื่องไตรภูมิ
คติความเชื่อเรื่องไตรภูมิหรือไตรโลกที่มีมาลัยเถาหรือมาลัยลูกแก้วสามชั้นที่บริเวณปากระฆังรองรับองค์ระฆัง
มาลัยชั้นที่ 1 หมายถึง กามภูมิ มาลัยชั้นที่ 2 หมายถึง รูปภูมิ และชั้นที่ 3
หมายถึง อรูปภูมิ ภายในวิหารมหาภิเนษกรมณ์หรือวิหารพระม้า
ซึ่งเป็นบันไดทางขึ้นสู่ลานประทักษิณขององค์พระบรมธาตุเจดีย์ มีการสร้างเป็นป่าหิมพานต์ให้เป็นสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราช
อันเป็นสวรรค์ชั้นที่ 1 ในจำนวนสวรรค์ทั้ง
6 ชั้น ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาพระสุเมรุ
ซึ่งเป็นแดนที่อยู่ของท้าวมหาราชทั้ง 4
ผู้ซึ่งรักษาคุ้มครองโลก ได้แก่ ท้าวธตรฐ
รักษาคุ้มครองโลกด้านตะวันออกทำหน้าที่ปกครองคนธรรพ์ ท้าววิรุฬหก รักษาคุ้มครองโลกด้านทิศใต้ทำหน้าที่ปกครองกุมภัณฑ์ ท้าววิรูปักรักษาคุ้มครองโลกด้านตะวันตกทำหน้าที่ปกครองพญานาคและท้าวกุเวรหรือท้าวเวสสุวรรณ
รักษาคุ้มครองโลกด้านเหนือทำหน้าที่ปกครองยักษ์
ส่วนลานประทักษิณและองค์พระบรมธาตุเจดีย์เป็นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีองค์พระบรมธาตุเจดีย์เป็นยอดเขาพระสุเมรุ
บนยอดเขาพระสุเมรุคือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีเทพนครชื่อว่านครไตรตรึงษ์ มีพระอินทร์เทวราชเป็นผู้ปกครองทำหน้าที่อภิบาลและพิทักษ์คุณธรรมให้แก่มนุษย์ สวรรค์ชั้นนี้จึงเป็นที่ประทับของเทพทั้ง 33
องค์ ปล้องไฉนที่อยู่เหนือเสาหานและพระเวียนมีจำนวน 33 ปล้อง
อันเป็นคติความเชื่อที่เกี่ยวกับที่ประทับของเทพ 33 องค์ ปทุมโกศมีลักษณะเป็นรูปบัวคว่ำบัวหงาย
โดยหุ้มด้วยทองคำตั้งแต่ส่วนนี้ไปจนถึงปลายสุดที่เรียกว่า “ปลียอดทองคำ”
ส่วนนี้อาจหมายถึงเจดีย์จุฬามณีที่ประดิษฐานพระเกศธาตุและพระเขี้ยวแก้ว ซึ่งพระอินทร์สร้างไว้บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ในช่วงระยะเวลาที่พระพุทธศาสนาลังกาวงศ์รุ่งโรจน์ขึ้นในเมืองนครศรีธรรมราชนั้นได้มีการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่บริเวณหาดทรายแก้วอันเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ของความศักดิ์สิทธิ์และศูนย์กลางของอาณาจักรนครศรีธรรมราช ศูนย์กลางแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรนี้ได้กลับกลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรที่แพร่กระจายไปปรากฏขึ้นในสถานที่ต่างๆ
ภายในอาณาจักรที่มีสภาพภูมิประเทศศักดิ์สิทธิ์รองลงมาจากหาดทรายแก้ว ในปัจจุบันนี้ยังคงปรากฏสถูปดังกล่าวอยู่หลายแห่ง
สถูปที่สำคัญแห่งแรก ได้แก่
พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช เป็นสถูปทรงลังกาขนาดสูงประมาณ 77 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางที่ฐาน 22.98 เมตร
ยอดหุ้มด้วยทองคำสูง 8.294 เมตร
สร้างด้วยรูปแบบสถูปทรงลังกา
จากรูปแบบทางศิลปะที่ปรากฏในปัจจุบันมีอายุอยู่ในประมาณพุทธศตวรรษที่ 17-18
ตำนานได้กล่าวว่า มีการสร้างสถูปองค์นี้เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์เหมือนอย่างเจดีย์ในอินเดีย
ศรีลังกาและดินแดนอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แม้ว่าสถูปองค์นี้จะได้รับการบูรณะมาแล้วหลายครั้ง
แต่ยังคงแสดงให้เห็นว่าในขั้นต้นคงจะได้รับอิทธิพลจากต้นแบบที่เป็นสถูปในศิลปะแบบโปโลนนารุวะของศรีลังกา
โดยเฉพาะสถูปกิริเวเหระ (Kirivehera) ในโปโลนนารุวะเมืองหลวงเก่าของศรีลังกา
พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชเป็นสถูปที่ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส
โดยรอบฐานมีการแบ่งเป็นช่องๆ แต่ละช่องมีช้างโผล่ส่วนหัวออกมา โดยระหว่างซุ้มหัวช้างเหล่านี้มีซุ้มเรือนแก้วที่ภายในเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นประดิษฐานอยู่ ส่วนฐานนี้ได้รับการสร้างหลังคาคลุมไว้โดยรอบเรียกว่า
“ทับเกษตร”
ถัดขึ้นไปทางด้านบนเป็นส่วนของลานประทักษิณที่ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วมีบันไดทางขึ้นสู่ลานประทักษิณตั้งอยู่ทางทิศเหนือคือ
ตั้งอยู่ภายในวิหารพระทรงม้าที่มุมทั้งสี่ของลานประทักษิณมีสถูปจำลองทรงลังกาสร้างไว้มุมละองค์ ตรงกลางลานประทักษิณเป็นส่วนของปากระฆังของสถูปองค์นี้
โดยปากระฆังติดกับพื้นลานประทักษิณ
ถัดขึ้นไปเป็นส่วนองค์ระฆังทรงกลมที่มีปากระฆังผายออกเล็กน้อยเหนือองค์ระฆังเป็นบัลลังก์รูปสี่เหลี่ยมทรงสูง
ด้านข้างบัลลังก์แต่ละข้างมีเสาประดับอยู่สลับกันกับช่องว่างเป็นช่องๆ
ด้านบนของบัลลังก์ผายออก ตรงกลางบัลลังก์เป็นเสาหานประดับอยู่เป็นรูปวงกลมจำนวน 8
ต้น
เสาแต่ละต้นประดิษฐานพระอรหันต์ปูนปั้นต้นละองค์ ถัดขึ้นไปทาง
ด้านบนเป็นส่วนยอดของสถูปที่ทำเป็นรูปวงกลมเป็นปล้องๆ เรียกว่า “ปล้องไฉน”
จนกระทั่งถึง ประทุมโกศทำเป็นรูปบัวคว่ำบัวหาย
โดยหุ้มด้วยทองคำตั้งแต่ส่วนนี้ไปจนถึงปลายยอดสุดที่เรียกว่า “ปลียอดทองคำ”
แห่งที่สอง สถูปวัดเจดีย์งาม เป็นสถูปที่ประดิษฐานอยู่ในบริเวณวัดเจดีย์งาม
ตำบลบ่อตรุ อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา เป็นรูปทรงลังกาที่ตั้งอยู่บนฐานสูงคล้ายมณฑป
แม้ว่าจะได้รับอิทธิพลจากสถูปในศิลปะศรีวิชัยอยู่บ้าง
แต่ก็ได้มีการบูรณะมาแล้วหลายครั้งจนเค้าเดิมปรากฏอยู่น้อยและได้รับอิทธิพลจากพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชเป็นส่วนใหญ่
แห่งที่สาม สถูปวัดสวี
เป็นสถูปที่ประดิษฐานอยู่ภายในวัดสวี ตำบลสวี อำเภอสวี จังหวัดชุมพร
เป็นสถูปที่สร้างขึ้นโดยอาศัยรูปแบบของพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช
แห่งที่สี่ เจดีย์ยักษ์
เป็นสถูปที่ประดิษฐานอยู่ภายในวัดเจดีย์ยักษ์ (ร้าง)
ภายในเขตเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ถนนราชดำเนิน
ตำบลท่าวัง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นสถูปทรงลังกาที่มีขนาดใหญ่
มีฐานสูงรูปสี่เหลี่ยม
ถัดขึ้นไปเป็นปากระฆังที่มีการสร้างเป็นลวดบัวทรงกลมซ้อนกันหลายชั้น ถัดขึ้นไปเป็นองค์ระฆังทรงสูง
เหนือขึ้นไปเป็นบัลลังก์รูปสี่เหลี่ยม เสาหาน ปล้องไฉนและส่วนยอดที่เรียวแหลม โดยส่วนยอดสุดหักไป
แห่งที่ห้า สถูปวัดเขียนบางแก้ว
เป็นสถูปที่ประดิษฐานอยู่ภายในวัดเขียนบางแก้ว ตำบลจองถนน อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง
เป็นสถูปที่ได้รับอิทธิพลมาจากพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช ฐานเป็นรูปแปดเหลี่ยม ฐานสูง บริเวณฐานมีซุ้มพระพุทธรูป ระหว่างซุ้มมีช้างโผล่หัวออกมา เหนือส่วนฐานขึ้นไปเป็นรูปคล้ายคลึงกันกับพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชและเป็นสถูปที่ได้รับการบูรณะมาแล้วหลายครั้ง
แห่งที่หก สถูปวัดจะทิ้งพระ เป็นสถูปที่ประดิษฐานอยู่ภายในวัดจะทิ้งพระ
ตำบลจะทิ้งพระ อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา เป็นสถูปที่มีรูปแบบคล้ายคลึงกันกับพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช
แต่มีการบูรณะหลายครั้งจนรูปแบบเปลี่ยนแปลงลงไปมากในระยะหลัง ทางด้านใต้ของสถูปองค์ใหญ่มีสถูปทรงกลมเล็กๆ
เรียงรายอยู่หลายองค์
แห่งที่เจ็ด สถูปวัดพะโคะ เป็นสถูปที่ตั้งอยู่บนเนินเขาภายในวัดพะโคะ
ตำบลชุมพล อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา เป็นสถูปทรงลังกา ตั้งอยู่บนฐานรูปสี่เหลี่ยม
มีช้างล้อม ส่วนฐานมีลานประทักษิณเรียงกันขึ้นไปเป็นชั้นๆ จำนวน 3 ชั้น
และมีสถูปจำลองอยู่ที่มุมทั้งสี่ของลานประทักษิณ แผนผังโดยรวมมีความคล้ายคลึงกันกับพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช
นอกจากนี้แล้วผู้ช่วยศาสตราจารย์ปรีชา
นุ่นสุข จากสถาบันราชภัฏนครศรีธรรมราชได้กล่าวไว้ในเอกสารประกอบการอบรมพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าสู่ระบบงานในองค์การกองงานเฉพาะบูรณปฏิสังขรณ์ปลียอดทองคำพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช
ในหลักสูตร “ความรู้เบื้องต้นเฉพาะผู้ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการบูรณปฏิสังขรณ์ปลียอดทองคำพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช
รุ่นที่ 1 ณ หอสมุดแห่งชาตินครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 18-21 พฤษภาคม พ.ศ.2537” ความตอนหนึ่งว่า
“…
พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชองค์ปัจจุบันมีหลักฐานทางโบราณคดียืนยัน ได้ว่าได้ให้อิทธิพลทางสถาปัตยกรรมแก่พระเจดีย์ทรงลังกาทั้งมวลในภาคใต้
เช่น เจดีย์ที่วัดพะโคะ อำเภอสทิงพระ เจดีย์ที่วัดจะทิ้งพระ อำเภอสทิงพระ
และเจดีย์ที่วัดเจดีย์งาม อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา เจดีย์ที่วัดตะเขียน
ตำบลบางแก้ว จังหวัดพัทลุง เป็นต้น
ส่วนในภาคกลางนอกจากเจดีย์หลายองค์ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจะได้รับอิทธิพลจากพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชแล้ว
เจดีย์อีกหลายองค์ในกำแพงเพชรและสุโขทัยก็ได้รับอิทธิพลจากพระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้
เช่น เจดีย์วัดศรีพิจิตรกิรกิติกัลยาราม อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย
เจดีย์ที่วัดช้างรอบ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร เจดีย์ที่วัดช้างล้อม อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัยและเจดีย์วัดช้างล้อม
วัดสรศักดิ์ อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย เป็นต้น ในทำนองเดียวกันเจดีย์หลายองค์ในภาคเหนือก็ได้รับอิทธิพลจากพระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้
เช่น เจดีย์ที่วัดสวนดอก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เจดีย์ที่วัดอุโมงค์อารยมณฑล
อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่และเจดีย์ที่วัดป่าแดงหลวง อำเภอเมือง
จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น”
สรุปว่า พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชเป็นปูชนียสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์
ตำนานกล่าวว่า
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงสร้างเมืองและสร้างพระบรมธาตุเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุบนหาดทรายแก้ว
รูปทรงของพระบรมธาตุเจดีย์ที่สร้างในครั้งนั้นอาจเป็นรูปแบบศิลปะศรีวิชัยเช่นเดียวกับพระบรมธาตุไชยา
ต่อมาพระเจ้าจันทรภานุศรีธรรมราช ทรงบูรณะและเสริมสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ให้เป็นศิลปะลังกาครอบเจดีย์องค์เดิมและมีการบูรณะเสริมสร้างตลอดมา
การสร้างพระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้สร้างตามคติความเชื่อเรื่องไตรภูมิและศิลปะแบบลังกาในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและพระพุทธศาสนาที่มีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางของจักรวาล โดยการจำลองทางขึ้นลานประทักษิณให้เป็นสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชและป่าหิมพานต์
พระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้จึงเป็นศูนย์กลางเมือง ศูนย์กลางพระพุทธศาสนาและสัญลักษณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ที่มีอิทธิพลต่อเจดีย์ในภาคใต้
ภาคกลางและภาคเหนือ
บรรณานุกรม
ชวน เพชรแก้ว
และปรีชา นุ่นสุข. กำแพงเมืองมรดกทางวัฒนธรรมของชาวนคร. สงขลา : วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช, 2520.
ปรีชา นุ่นสุข. พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช. กรุงเทพมหานคร :
กรุงสยามการพิมพ์, 2530.
ปรีชา นุ่นสุข. รายงานการวิจัยเรื่องประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในคาบสมุทรภาคใต้ของประเทศ
ไทย. คณะกรรมการวิจัยการศึกษา
การศาสนาและการวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ, 2544.
พระครูปลัดวิริยวัฒน์.
“วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร นครศรีธรรมราช”. ในที่ระลึกในการถวายผ้ากฐินพระราชทาน
ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช. กรุงเทพมหานคร : กรมชลประทานกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ, 2509.
พระครูวรวิริยคุณ.
“พระพุทธศาสนาลังกาวงศ์กับการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช”. นครศรีธรรมราช 43, 11 (ตุลาคม 2556) : 44.
ยงยุทธ
วรรณโกวิท. ทองคำที่ใช้ในการบูรณปฏิสังขรณ์ปลียอดทองคำพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช
วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อำเภอเมือง
จังหวัดนครศรีธรรมราช ระหว่าง พ.ศ.2537-2538.
กรุงเทพมหานคร :
กรมศิลปากร, 2541.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น