วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชกับการเกิดขึ้นของประเพณีท้องถิ่นภาคใต้



 บทความวิชาการลำดับที่ 13
 โดยพระครูวรวิริยคุณ (ปราโมทย์ กลิ่นละมัย)
เรื่อง "พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชกับการเกิดขึ้นของประเพณีท้องถิ่นภาคใต้"
            พระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ได้เผยแผ่เข้ามาสู่เมืองนครศรีธรรมราชประมาณพุทธศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมาและได้ตั้งมั่นลงอย่างมั่นคงสืบเนื่องมาจนกระทั่งปัจจุบัน พระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ได้มีบทบาทอย่างสำคัญยิ่งต่อวัฒนธรรมต่างๆ ในเมืองนครศรีธรรมราชมาโดยตลอด จนกระทั่งพระพุทธศาสนาได้กลายเป็นเส้นโลหิตใหญ่ของวัฒนธรรมของคนบนคาบสมุทรภาคใต้ของไทย  ความเชื่อ (beliefs) ที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์เป็นความเชื่อที่ผสมผสานกับความเชื่อท้องถิ่นและลัทธิศาสนาอื่นๆ อย่างกลมกลืน อันเนื่องจากคนในท้องถิ่นมีความเชื่อเกี่ยวกับผีสางเทวดา สิ่งเหนือธรรมชาติ และศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อรับนับถือพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ไม่ได้ละทิ้งความเชื่อเดิม แต่ได้นำเอาความเชื่อเดิมเข้ามาปฏิบัติผสมผสานกลมกลืนกับความเชื่อของพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ ดังที่ได้เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ที่คนในเมือง นครศรีธรรมราชได้ปฏิบัติสืบทอดกันมาหลายอย่างและเป็นระบบความเชื่อที่มีเสน่ห์ในการร้อยรัดเอาสถาบันต่างๆ ในสังคมให้มาอยู่รวมกันภายใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ ความเชื่อเหล่านั้นได้นำไปสู่พิธีกรรม (rituals) ที่เป็นหัวใจสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ จึงทำให้พิธีกรรมมีบทบาทและความสำคัญต่อวิถีชีวิตของคนเมืองนครศรีธรรมราช เพราะพิธีกรรมได้กำหนดแนวคิด หลักธรรม ความเชื่อ ความรู้สึก และการปฏิบัติร่วมกันที่ได้สืบทอดต่อๆ กันมาอย่างกลมกลืนทั้งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ จึงได้กลายเป็นประเพณีท้องถิ่นที่มีความสัมพันธ์กับพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช ดังนี้
            1. ประเพณีการบวช เป็นพิธีกรรมเกี่ยวกับการบวชเพื่อศึกษาพระธรรมวินัยและสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์เมืองนครศรีธรรมราช โดยมีพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชเป็นศูนย์กลาง  พิธีการบวชได้เริ่มมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงสร้างพระบรมธาตุเจดีย์  สร้างวัด ก่อพระพุทธรูป พระภิกษุจากลังกาสอนสวดมนต์ไหว้พระและบวชกุลบุตร พิธีการบวชในช่วงแรกสันนิษฐานว่าน่าจะเริ่มบวชกันบริเวณรอบๆ องค์พระบรมธาตุเจดีย์ที่เปรียบเสมือนองค์พระพุทธเจ้า ส่วนสถานที่ทำสังฆกรรมในการอุปสมบทนั้นน่าจะเป็นพระวิหารหลวงหรือในแม่น้ำหรือทะเล เมื่อพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์เผยแผ่ออกไปสู่ชุมชน ตำบล หมู่บ้าน และเมืองสิบสองนักษัตรของเมืองนครศรีธรรมราชได้มีการสร้างวัดเพิ่มขึ้นตามชุมชน พิธีการบวชจึงได้เกิดขึ้นตามวัดในชุมชนและบางส่วนได้เดินทางมาบวชเพื่อบูชาพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช ดังเช่น การเดินทางมาบวชบูชาพระบรมธาตุเจดีย์ของชาวพุทธในภาคใต้ของประเทศไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ เป็นต้น
            พิธีการบวชมีความสัมพันธ์ระหว่างพิธีกรรมของชาวบ้านกับพิธีกรรมของสงฆ์ พิธีกรรมของชาวบ้านได้แก่ พิธีโกนหัวนาค พิธีทำขวัญนาค พิธีแห่นาค เป็นต้น  ส่วนพิธีกรรมที่เกี่ยวกับสงฆ์ได้แก่ พิธีบวชและสังฆกรรมภายในอุโบสถของสงฆ์ เป็นต้น  พระพุทธศาสนาลังกาวงศ์มีจุดหมายในการบวชเพื่อบรรลุธรรมและดำเนินตามรอยพระศาสดา การบวชในสมัยพุทธกาลจึงเป็นการเดินตามรอย พระพุทธองค์อย่างแท้จริง เมื่อบวชแล้วจะไม่ลาสิกขาตลอดชีวิต แต่ในสมัยหลังมาแม้ว่ามีการบวชเพื่อเดินตามรอยพระศาสดาและบวชชั่วคราวมีการลาสิกขาออกมาใช้ชีวิตอย่างฆราวาสที่มีคุณค่ามากกว่าคนทั่วๆ ไป  การบวชตามประเพณีที่สืบต่อกันมาในเมืองนครศรีธรรมราชและเมืองสิบสองนักษัตรมีจุดมุ่งหมายเพื่อสืบทอดประเพณีและสนองคุณของผู้มีพระคุณที่เชื่อว่าการบวชของลูกหลานทำให้ได้รับอานิสงค์เหนือกว่าการประกอบการบุญอื่นๆ รวมทั้งจะได้เป็นคนสุกมีวิชาความรู้ใส่ตัวและมีครอบครัวต่อไป
            ผู้ชายเมื่อมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์  พ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่มักจะให้บวชเรียน การเลือกวัดเพื่อการบวชนั้น  พ่อแม่และญาติผู้ใหญ่มักจะนำบุตรไปหาพระสงฆ์เจ้าอาวาสที่วัดใกล้บ้านหรือวัดที่ตนเคยเลื่อมใสบูรณะและบำรุงกันมา  โดยถือว่าเมื่อบรรพบุรุษทำนุบำรุงวัดใด ลูกหลานก็ต้องทำนุบำรุงต่อไป  ด้วยการฝากตัวต่อเจ้าอาวาสวัดนั้น  กุลบุตรต้องกราบลาญาติมิตรให้เรียบร้อยแล้วไปหาสมภารด้วยตนเอง  มักจะไปในวันพฤหัสบดีซึ่งถือว่าเป็นวันครูและต้องเตรียมเครื่องบูชาไปด้วย การปฏิบัติในระยะเตรียมตัวเพื่อการบวชเรียนนี้ต้องเคร่งครัดมาก เพราะต้องเตรียมชีวิตให้คล้ายกับนักบวชมากที่สุดและใช้เวลาก่อนการบวชประมาณสองถึงสี่เดือน ชาวบ้านมักจะเรียกกุลบุตรเหล่านี้ว่าเด็กวัดใหญ่
            ครั้นในช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์ก่อนจะถึงวันเข้าพรรษาหรือแรม 1 ค่ำ เดือน 8  กุลบุตรมักจะเข้าพิธีกรรมการบวชโดยพร้อมเพรียงกันในวันเดียวกัน หากว่าบวชวัดเดียวกันการเตรียมการบวชไม่แตกต่างจากพิธีอื่นๆ มากนัก  ซึ่งในอดีตผู้ที่บวชมักจะบวชจำพรรษาอยู่หลายๆ พรรษา แต่ในปัจจุบันนิยมบวชในระยะเวลาสั้นๆ ไม่จำพรรษา จึงสามารถเตรียมตัวบวชได้ตลอดทั้งปี อาหารมักจะเป็นผลผลิตมาจากท้องถิ่น แขกที่มาร่วมงานมักนำผลผลิตมาร่วมบุญและช่วยงานบวชด้วย  ในตอนเย็นก่อนวันบวชมักจะมีการโกนผมผู้บวชจากนั้นมีการเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เป็นชุดเฉพาะสำหรับบุคคล
ผู้บวชเรียกว่า “ชุดนาค” ผู้บวชเรียกว่า “เจ้านาค” ตอนเย็นมีพิธีสงฆ์เรียกว่า “สวดผ้าและหมอทำขวัญนาค”
            วันรุ่งขึ้นมีการแห่นาคและผ้าไตรจีวรไปยังวัดที่จะประกอบพิธีบวช  สำหรับผู้ที่มาบวชบูชาพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชจะต้องเดินมาตอนใกล้รุ่งในวันบวช ถ้าเป็นผู้บวชในประเทศมาเลเซียหรือสิงคโปร์จะเดินทางมาเป็นคณะมาพักที่เมืองนครศรีธรรมราชก่อนถึงพิธีบวช 1 วัน เมื่อบวชแล้วก็ได้เดินทางกลับ พิธีการบวชเมื่อเดินทางมาถึงวัดที่จะบวชก็เวียนรอบอุโบสถหรือพระวิหารหลวงแบบทักษิณาวัตรสามรอบ บูชาพัทสีมาและกรวดน้ำหน้าอุโบสถหรือพระวิหารหลวงแล้วนำเจ้านาคเข้าสู่อุโบสถ  เพื่อประกอบพิธีบรรพชาอุปสมบทหรือพิธีสงฆ์จนการอุปสมบทนั้นสำเร็จสมบูรณ์  ซึ่งถือว่ามีความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ภิกษุผู้บวชใหม่จะต้องมีพระภิกษุที่เป็นพระพี่เลี้ยงหรือเจ้าอาวาสคอยแนะนำสั่งสอนพระธรรมวินัยและธรรมเนียมสงฆ์เพื่อเตรียมตัวเข้าพรรษาของพระภิกษุผู้บวชใหม่   

            2. ประเพณีให้ทานไฟ เป็นประเพณีที่ได้เกิดขึ้นรอบๆ องค์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช  เนื่องจากหาดทรายแก้วสถานที่ประดิษฐานขององค์พระบรมธาตุเจดีย์เป็นพื้นที่สูงน้ำท่วมไม่ถึง  ในช่วงระยะเวลาน้ำหลากท่วมนาทุ่งหยามด้านทิศตะวันออกและทุ่งนาปรังด้านทิศตะวันตกของหาดทรายแก้ว ชาวบ้านที่เลี้ยงวัวและควายนำมาเลี้ยงบริเวณที่น้ำท่วมไม่ถึงในเวลากลางคืนนอนเฝ้าวัวและควายที่วัดรอบๆ องค์พระบรมธาตุเจดีย์ อาทิเช่น วัดหน้าพระลาน           วัดหน้าพระบรมธาตุ วัดท้าวโคตร เป็นต้น กลางคืนอากาศหนาวเนื่องจากฤดูฝนกำลังจะเปลี่ยนผ่านไปคนเลี้ยงวัวและควายเหล่านั้นได้ก่อกองไฟผิงและต้มยาธาตุ ตลอดจนสนทนาธรรมกับพระภิกษุในวัดนั้นๆ ตอนเช้านำเผือกมันมาเผาให้สุกนำไปถวายพระภิกษุในตอนเช้าทุกวัน ชาวบ้านในบริเวณวัดเหล่านั้นเห็นว่าเป็นการดีที่อากาศหนาวเย็นได้ถวายอาหารร้อนแก่พระภิกษุ จึงได้ปรุงอาหาร ขนมต่างๆ มาจากบ้านทุกเช้ามาถวายพระภิกษุ  ต่อมาชาวบ้านเหล่านั้นได้นำอาหารและขนมต่างๆ มาปรุงที่วัดเพื่อถวายพระภิกษุร้อนๆ การถวายอาหารร้อนๆ ในตอนเช้าแก่พระภิกษุได้แพร่กระจายออกไปจำนวนหลายวัดรอบๆ องค์พระบรมธาตุเจดีย์
            ประเพณีให้ทานไฟเป็นการทำบุญในเดือนอ้ายและยี่ (ธันวาคม-มกราคม) มีกระแสลมมรสุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือพัดพาอากาศหนาวเย็นจากทางภาคเหนือที่มาจากทะเลจีนใต้มายังเมืองนครศรีธรรมราชและภาคใต้  จึงทำให้คนเมืองนครศรีธรรมราชหนาวเย็น บางปีหนาวมากต้องก่อกองไฟผิงในตอนเช้ามืด ชาวบ้านที่อาศัยอยู่รอบๆ วัดจึงได้ก่อกองไฟให้พระภิกษุผิงไฟและนำอาหาร ขนมต่างๆ มาปรุงถวายพระภิกษุฉันในตอนเช้าเป็นประจำทุกวัน  โดยที่พระภิกษุเหล่านั้นไม่ต้องบิณฑบาตในท่ามกลางอากาศหนาวในช่วงระยะเวลานี้  ต่อมาเมื่อเป็นประเพณีให้ทานไฟประจำปีของเมืองนครศรีธรรมราชจึงได้มีการจัดประเพณีทานไฟขึ้นทุกวัดที่อยู่รายรอบทั้งใกล้ทั้งไกลองค์พระบรมธาตุเจดีย์ แต่ละวัดจัดเพียงครั้งเดียวเท่านั้นและมีการก่อกองไฟเพียงกองเดียวเท่านั้น  โดยที่คณะชาวบ้านนำอาหาร ขนมต่างๆ มาปรุงถวายพระสงฆ์ฉันร้อนๆ ที่ลานวัด เรียกว่า “ให้ทานไฟ”หรือ “การถวายทานไฟ” 
             ขนมที่นิยมปรุงถวายพระสงฆ์คือ ขนมเบื้อง ขนมครก ขนมกรอก ขนมจู่จุน กล้วยทอด กล้วยแขก ข้าวเหนียวกวนทอด ขนมม้า ขนมด้วง ขนมรังแตนรังต่อ ขนมปะดา ขนมโค ขนมกรุบ ข้าวเกรียบปากหม้อและอื่นๆ ซึ่งเป็นประเภทนึ่ง-ทอด-เผา ด้วยเตาไฟ  อันจะให้ทั้งความร้อนความอบอุ่นและเป็นอาหารกินได้ไปพร้อมกัน  โดยแยกก่อกองไฟออกเป็นกองๆ ปูเสื่อนิมนต์พระสงฆ์มานั่งฉัน ข้างกองไฟ ชาวเมืองนครศรีธรรมราชนิยมทำบุญให้ทานไฟกันเสมอทุกปี เช่น วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร วัดหน้าพระบรมธาตุ วัดท้าวโคตร วัดชายนา วัดสวนหลวง วัดชะเมา วัดหัวอิฐ เป็นต้น  ซึ่งถือเป็นประเพณีที่เก่าแก่และดีงามน่าศรัทธาที่ถือปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านาน 


            3. ประเพณีกวนข้าวมธุปายาสยาคู เป็นประเพณีที่เกิดจากความอุดมสมบูรณ์ของผลผลิตทางการเกษตรและพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ที่มีพระบรมธาตุเจดีย์เป็นศูนย์กลางของความศักดิ์สิทธิ์  โดยอาศัยความเชื่อที่เกี่ยวกับพระพุทธประวัติตอนนางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาสยาคูแก่พระมหาบุรุษ เมื่อพระองค์เสวยข้าวมธุปายาสยาคูแล้วทรงตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ พุทธศาสนิกชนชาวเมืองนครศรีธรรมราชมีความเชื่อว่าเป็นการทำบุญในเวลาที่ต้นข้าวออกรวงเป็นน้ำนม  เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ข้าวในนา ข้าวยาคูเป็นอาหารทิพย์ผู้ที่ได้รับประทานมีความเชื่อสมองดีจะเกิดปัญญา มีอายุยืน สุขภาพพลานามัยสมบูรณ์ ผิวพรรณผ่องใสและเป็นโอสถขนานเอกที่สามารถขจัดโรคร้ายได้ทุกชนิด ทั้งสามารถบันดาลความสำเร็จให้ในสิ่งที่คิดที่หวังแก่ผู้บริโภค 

            ประเพณีกวนข้าวมธุปายาสยาคูเป็นพิธีการหนึ่งในงานประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ วันมาฆบูชา เพ็ญเดือนสามของทุกปี ข้าวยาคูหรือข้าวยาโค ปัจจุบันนิยมกวนข้าวยาโคกันในวันขึ้น 13 และ 14 ค่ำ เดือน 3 วัดที่กวนข้าวมธุปายาสยาคู เช่น วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร วัดท้าวโคตร วัดชายนา วัดบุญนารอบ วัดส่วนป่าน เป็นต้น การกวนข้าวมธุปายาสยาคูจะต้องมีพิธีการ ดังนี้
            1) สาวพรหมจารี นุ่งขาวห่มขาว สมาทานเบญจศีลก่อนเข้าพิธีกวนข้าวมธุปายาสยาโค  เพื่อความบริสุทธิ์และเป็นสิริมงคล
            2) พระสงฆ์ เจริญชัยมงคลคาถาในขณะที่เริ่มกวนข้าวมธุปายาสยาโค ซึ่งผูกด้ายสายสิญจน์โยงจากพระสงฆ์ผูกไว้ที่ไม้กวนหรือไม้พาย
            3) พิธีกวน สาวพรหมจารีจับไม้กวน มีการลั่นฆ้องชัยหรือโห่สามลา พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถาตั้งแต่เริ่มพิธีกวนจนสวดจบถือว่าเสร็จพิธี  ต่อจากนั้นพุทธศาสนิกชนช่วยกันกวนข้าวยาโค
            4) วิธีกวนข้าวมธุปายาสยาโคใช้เวลาในการกวนข้าวประมาณ 8-9 ชั่วโมง จึงแล้วเสร็จและจะต้องกวนอยู่ตลอดเวลา เมื่อเริ่มเหนียวจะใช้น้ำมันมะพร้าวที่เคี่ยวไว้เติมลงในกระทะ ข้าวยาโค
จะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำเมื่อกวนเสร็จและมีกลิ่นหอมเครื่องเทศ
            การกวนข้าวมธุปายาสยาโคหรือข้าวทิพย์หรือข้าววิเศษนี้  โดยการนำอาหารชนิดต่างๆ มารวมเคี่ยวกวนเข้าด้วยกันในกระทะขนาดใหญ่ประมาณ 50 ชนิด เช่น น้ำนมข้าว ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ทุเรียน กล้วย เผือก มัน มะพร้าว นม น้ำตาล น้ำผึ้ง เป็นต้น  เคี่ยวกวนจนเข้ากันจนแห้งเหนียวแล้วโรยเครื่องราโกฐและเครื่องยาทั้งหลายที่บดละเอียดลงไปในกระทะเป็นอันว่าข้าวมธุปายาสยาคูเสร็จสมบูรณ์  นำไปถวายพระสงฆ์ตามวัดต่างๆ ฉันและแจกจ่ายประชาชนให้บริโภคได้  

            4. ประเพณีแห่ผ้าขึ้นพระธาตุ เป็นประเพณีที่ชาวเมืองนครศรีธรรมราชได้ร่วมมือร่วมใจกันบริจาคเงินทองตามศรัทธา นำเงินที่ได้รับบริจาคนั้นไปซื้อผ้ามาเย็บต่อกันเข้าให้เป็นแถบยาวนับพันหลาแล้วพากันแห่ผ้าดังกล่าวไปที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารเพื่อนำผ้านั้นไปพันโอบรอบฐานองค์พระบรมธาตุเจดีย์อันเป็นเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
            ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุเมืองนครศรีธรรมราช เป็นประเพณีที่มีมาตั้งแต่การสร้างพระบรมธาตุเจดีย์และสมโภชพระเจดีย์  ตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราชได้กล่าวถึงที่มาของประเพณีนี้ว่าเกิดขึ้นในสมัยอาณาจักรศรีวิชัย ประมาณปี พ.ศ.1773 ซึ่งตรงกับสมัยกษัตริย์สามพี่น้อง คือ พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช พระเจ้าจันทรภานุ และพระเจ้าพงษาสุระ กำลังดำเนินการสมโภชพระธาตุอยู่นั้นคลื่นได้ซัดผ้าแถบยาวชิ้นหนึ่ง ซึ่งมีลายเขียนเรื่องพระพุทธประวัติ เรียกว่า “ผ้าพระบฏ” ขึ้นที่ชายหาดปากพนัง  ก่อนที่จะถึงวันสมโภชพระธาตุไม่นาน ชาวปากพนังเก็บผ้านั้นไปถวายพระเจ้า
ศรีธรรมาโศกราช  พระองค์รับสั่งให้ซักผ้าพระบฏ เมื่อซักผ้าพระบฏแล้วปรากฏภาพเขียน พระพุทธประวัติที่สมบูรณ์ดีทุกประการ  จึงรับสั่งให้ประกาศหาเจ้าของจึงได้ความว่าชาวพุทธกลุ่มหนึ่งจำนวน 100 คน มาจากเมืองหงสาวดีซึ่งมีผขาวอริยพงษ์เป็นหัวหน้าคณะจะเดินทางไปลังกา เพื่อนำผ้าพระบฏไปบูชาพระพุทธบาทในลังกาแต่เรือสำเภาโดนพายุที่ชายฝั่งเมืองนครศรีธรรมราช มีคนรอดชีวิต 10 คน รวมทั้งหัวหน้า พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงพิจารณาเห็นว่า พระบฏนั้นควรจะนำไปห่มพระบรมธาตุเจดีย์เนื่องในโอกาสสมโภชพระบรมธาตุ จึงเป็นประเพณีประจำเมืองนครศรีธรรมราชมาจนทุกวันนี้
            ตามตำนานที่กล่าวมาชี้ให้เห็นว่า การแห่ผ้าขึ้นธาตุกระทำในโอกาสสมโภชพระบรมธาตุประจำปี  แต่ไม่มีหลักฐานระบุแน่ชัดว่ากระทำในวันใด อาจเปลี่ยนแปลงกำหนดวันไปตามความเหมาะสมทุกๆ ปีก็เป็นได้  ตามปกติแล้วพระยานครและทายาทเป็นผู้กระทำประเพณีนี้เป็นประจำทุกปี  โดยการจัดพิธีแห่แหนผ้าพระบฏพร้อมด้วยอาหารหวานคาว เครื่องอุปโภคและบริโภคที่จำเป็นๆ ไปถวายพระสงฆ์ในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร  โดยการหาบคอนไปเป็นขบวนแห่อันสวยงาม ในโอกาสนี้ชาวนครศรีธรรมราชจะมาร่วมกิจกรรมดังกล่าวเพิ่มขึ้นทุกปี  ครั้นสมัยพระยานครทางราชการได้เปลี่ยนระเบียบวิธีบริหารราชการเสียใหม่ แต่ทางทายาทของพระยานครก็ยังปฏิบัติประเพณีนี้ต่อมาเช่นเดิม  ครั้นหลังการเปลี่ยนการปกครองปี พ.ศ.2475 ชาวเมืองก็ได้จัดประเพณี
แห่ผ้าขึ้นธาตุทุกปีและมีจำนวนผู้คนเพิ่มมากขึ้นทุกๆ ปี เช่นกัน
            ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีหลักฐานว่าประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุได้กระทำในวันวิสาขบูชา วันเพ็ญเดือนหก ซึ่งเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา  ในวันดังกล่าวมีการเวียนเทียนรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์และมีพระสงฆ์มาประชุมพร้อมกันที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร  เพื่อสมโภชพระบรมธาตุเจดีย์ ชาวเมืองและประชาชนจากต่างจังหวัดเดินทางมาร่วมสักการะพระบรมธาตุเจดีย์เป็นจำนวนมาก  ครั้นถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชประสงค์ให้พุทธศาสนิกชนจัดพิธีทางพระพุทธศาสนาในวันมาฆบูชา วันเพ็ญเดือนสาม ให้มีการเวียนเทียนรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์อีกวันหนึ่ง ประชาชนทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลเข้ามาสู่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เพื่อสักการะองค์พระบรมธาตุเจดีย์เช่นเดียวกับวันวิสาขบูชา  ประชาชนที่มาจากต่างบ้านต่างเมืองได้นำผ้ามาแห่ขึ้นห่มพระบรมธาตุเจดีย์อีกด้วย  ตามความเชื่อที่มีมาแต่โบราณซึ่งถือว่าถ้าได้ทำบุญต่อพระพุทธองค์โดยตรงหรือใกล้ชิดกับพระพุทธองค์มากที่สุดจะได้บุญมาก พระบรมธาตุเจดีย์จึงเป็นเสมือนพระพุทธองค์ประชาชนจึงมาสักการะจากทั่วทุกสารทิศ
             ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุในวันนี้ได้เปลี่ยนไปตามสภาพสังคม  เพราะแต่เดิมผ้าพระบฏมีช่างผู้ชำนาญเขียนภาพสีเกี่ยวกับพระพุทธประวัติ  ประกอบด้วยลูกปัดสีต่างๆ แพรพรรณและดอกไม้ที่ขอบแถบผ้าโดยตลอดทั้งผืน แต่ปัจจุบันผ้าที่ใช้แห่ขึ้นธาตุมีเพียง 3 สี คือ แดง ขาว และเหลือง อาหาร เครื่องอุปโภคและบริโภคไม่มี  แต่เดิมการแห่ผ้าขึ้นธาตุกระทำกันโดยพร้อมเพรียงขบวนเดียว  ต่อมาประชาชนมาจากหลายทิศทางและเตรียมผ้ามาเอง จึงทำให้การแห่ผ้าขึ้นธาตุกระทำไม่พร้อมเพรียงกัน ใครจะแห่ผ้าขึ้นธาตุในเวลาใดก็สามารถทำได้ตามความสะดวก การบูชาองค์พระบรมธาตุเจดีย์ด้วยการแห่ผ้าขึ้นห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์ปัจจุบันได้มีการแห่ผ้าพระบฏพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี การแห่ผ้าขึ้นธาตุนานาชาติ เป็นต้น  นอกจากการแห่ห่มพระบรมธาตุเจดีย์ในประเพณีแล้วอาจมีในโอกาสอื่นๆ เช่น ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลก่อนๆ เสด็จเมืองนครศรีธรรมราช อาทิเช่น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวหรือบุคคลสำคัญอื่นๆ เป็นต้น
            เมื่อขบวนแห่ผ้าขึ้นธาตุถึงวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารแล้วก็แห่ทักษิณาวัตรรอบองค์ พระบรมธาตุเจดีย์ 3 รอบ แล้วนำผ้าเข้าสู่วิหารทรงม้าหรือวิหารพระม้าเป็นวิหารที่มีบันไดขึ้นสู่ลานภายในกำแพงแก้ว ล้อมฐานพระบรมธาตุเจดีย์ คณะผู้ร่วมขบวนแห่จะส่งตัวแทน 3-4 คน และเจ้าหน้าที่ของวัดนำผ้าพระบฏหรือผ้าห่มขึ้นโอบรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์  ดังนั้นประเพณีการแห่ผ้าขึ้นธาตุจึงเป็นประเพณีที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจของพุทธศาสนิกชนชาวเมืองนครศรีธรรมราชและชาวเมืองใกล้ไกลที่ยึดเอาพระบรมธาตุเจดีย์เป็นเสมือนตัวแทนของพระพุทธองค์เป็นที่พึ่งทางใจ รวมพลังศรัทธาด้วยความบริสุทธิ์ใจของชาวเมืองนครศรีธรรมราชและพุทธศาสนิกชนต่างเมืองเข้าด้วยกัน หล่อหลอมความเป็นปึกแผ่นมั่นคงสืบมาช้านาน 

            5. ประเพณีตักบาตรธูปเทียน เป็นประเพณีที่คู่มากับวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร แม้ว่ารูปแบบจะแตกต่างออกไปจากประเพณีดั้งเดิมบ้างก็ตามประเพณีตักบาตรธูปเทียนเป็นประเพณีที่เกี่ยวเนื่องด้วยพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์  เพราะประเพณีนี้เป็นประเพณีถวายสังฆทานเนื่องในโอกาสเข้าพรรษา คือ วันแรม 1 ค่ำ เดือนแปด  ซึ่งเชื่อกันว่าประเพณีนี้ได้ถ่ายทอดไปสู่กรุงสุโขทัย เมื่อพระพุทธศาสนาเข้ามาสู่เมืองนครศรีธรรมราชเป็นครั้งแรกแล้วเข้าไปสู่กรุงสุโขทัย ดังหลักฐานที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ 1   
            ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์กล่าวถึงประเพณีเข้าพรรษาในสุโขทัยว่ามีการจุดประทีปบูชา   พระบรมธาตุ พระพุทธรูป และถวายสังฆทานเป็นประจำทุกปี สังฆทานที่ถวายมีหลายอย่าง เช่น เทียนพรรษา ผ้าอาบน้ำฝนและเครื่องบริขารอื่นๆ เช่น เสื่อ อาสนะ ยารักษาโรค ตั่งเตียง และดอกไม้ธูปเทียน เป็นต้น ในเมืองนครศรีธรรมราชเช่นกันเมื่อถึงวันเข้าพรรษามีพิธีการทำนองเดียวกันกับที่ปรากฏ ในตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์แทบทุกประการ จะผิดไปบ้างก็ในรูปแบบเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เมื่อถึงวันเข้าพรรษา ชาวเมืองนครศรีธรรมราชต่างพากันไปชุมนุมที่วัดใกล้บ้านเพื่อนำเทียนจำนำพรรษาไปถวายพระสงฆ์  นอกจากนั้นมีดอกไม้ธูปเทียน ผ้าอาบน้ำฝน ตั่ง เตียง ตะเกียง ยาและอาหารที่เป็นของแห้งอีกหลายชนิด
            ประเพณีนี้เดิมทีจัดที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ตั้งแต่สมัยที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา พอถึงวันเข้าพรรษาชาวเมืองนครศรีธรรมราชนำเอาเครื่องสังฆทานเหล่านั้นไปถวายพระสงฆ์ในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ครั้นถึงระยะที่มีพระสงฆ์ประจำที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารแล้ว การจัดพิธีนี้ก็ยังคงเดิมเนื่องจากคนไปทำบุญมีเป็นจำนวนมาก ทำให้บริขารที่พระสงฆ์วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารรับถวายมามีมากขึ้น จนวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารใช้ตลอดพรรษาก็ไม่หมดสิ้น  ชาวเมืองนครศรีธรรมราชเห็นว่าธูปเทียนเหล่านั้นจะสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ก็แบ่งปันไปให้วัดต่างๆ ที่ได้รับถวายไปน้อยในระยะเวลาต่อมา
             วันเข้าพรรษาแรม 1 ค่ำ เดือน 8  เวลาช่วงบ่ายประมาณ 14.00 น. เป็นต้นไป พระสงฆ์จากวัดต่างๆ ซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลจากวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารมากนักทั้งในเมืองและนอกเมืองต่างมาพร้อมกันโดยยืนเรียงกันเป็นแถวยาวที่หน้าวิหารทับเกษตร วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เพื่อรอรับบิณฑบาตดอกไม้ธูปเทียนด้วยย่ามในแขนขวา ชาวเมืองนครศรีธรรมราชนำธูปเทียน ดอกไม้มัดเป็นช่อๆ ซึ่งใส่ถาดเตรียมไว้ถวายพระสงฆ์เหล่านั้นโดยใส่ลงในย่ามไปตามลำดับรูปละมัดเรียกว่า การตักบาตรธูปเทียน
            เมื่อตักบาตรธูปเทียนแล้วชาวเมืองนครศรีธรรมราชพร้อมใจกันไปจุดเปรียงหรือจองเปรียง  ซึ่งเป็นพิธีอย่างหนึ่งของพราหมณ์ เป็นพิธีจุดโคมรับเทพเจ้า ชาวพุทธรับมาทำในวันเพ็ญเดือนสิบสอง เพื่อบูชาพระบรมธาตุเจดีย์ และพระพุทธรูป ตามหน้าพระพุทธรูปและฐานเจดีย์ทุกด้านภายในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารโดยวิธีการง่ายๆ ด้วยการนำด้ายดิบใส่ลงในเปลือกหอยแครงหรือภาชนะเล็กๆ หยดน้ำมันสัตว์หรือน้ำมันมะพร้าวลงในเปลือกหอยแครงจุดไฟที่ด้าย ไฟจะสว่างไปทั่ววิหารและฐานเจดีย์ทุกด้านในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร  
            ประเพณีตักบาตรธูปเทียนของชาวเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยปัจจุบันได้เปลี่ยนรูปแบบไปจากที่เคยปฏิบัติกันมาแต่เดิมมาหลายประการ ดังนี้
            ประการแรก  เดิมพระสงฆ์เข้าแถวเพื่อรอรับบิณฑบาตธูปเทียนที่หน้าวิหารทับเกษตร แต่ปัจจุบันพระสงฆ์จะเข้าแถวรอรับบิณฑบาตธูปเทียนที่ลานโพธิ์วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
            ประการที่สอง  การตักบาตรธูปเทียนจะจัดที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารอย่างเดิม แต่มีการตักบาตรธูปเทียนตามถนนหนทางทั่วไปอีกด้วย   
            ประการที่สาม  เดิมชาวเมืองต้องเตรียมดอกไม้ธูปเทียนไว้พร้อมสำหรับการตักบาตรด้วยตนเอง  โดยที่ดอกไม้ประดิษฐ์ขึ้นเองด้วยวัสดุมิใช่ดอกไม้จริงทั้งนี้เพื่อจะได้ไม่เหี่ยวแห้งตลอดพรรษา  ปัจจุบันนี้ทั้งดอกไม้และธูปเทียนมีผู้จัดวางขายสำหรับประเพณีการตักบาตรธูปเทียน
            ประการที่สี่  เดิมเมื่อตักบาตรธูปเทียนแล้วพุทธศาสนิกชนบูชาพระบรมธาตุเจดีย์และพระพุทธรูปโดยการจุดเปรียง ปัจจุบันมีการจุดเทียนไขแทนการจุดเปรียงเพราะการจุดเปรียงทำให้เกิดไฟไหม้ภายในบริเวณวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารเป็นประจำ
            ประการที่ห้า  เดิมการจุดเปรียงกระทำทั่วไปทุกวิหารและฐานพระเจดีย์  ปัจจุบันการจุดเทียนไขได้กำหนดให้จุดได้เฉพาะที่ภายในวิหารพระม้าหรือสถานที่ที่ทางวัดกำหนดไว้เท่านั้น
            ประการสุดท้าย  เดิมการจุดเปรียงถือเป็นประเพณีที่ทุกคนต้องกระทำหลังจากตักบาตร ธูปเทียน แต่ปัจจุบันประเพณีนี้ได้ลดความสำคัญและความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติลงไปมาก จำนวนชาวเมืองนครศรีธรรมราชที่ปฏิบัติประเพณีนี้ลดลงไปแต่เดิมมาก
            ประเพณีการตักบาตรธูปเทียนเป็นประเพณีที่สำคัญอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความสัมพันธ์อย่างลึกซึ่งระหว่างพระบรมธาตุเจดีย์กับชาวเมืองนครศรีธรรมราช  เป็นประเพณีที่แสดงถึงค่านิยมอันสูงส่งในทางพระพุทธศาสนาของชาวเมืองนครศรีธรรมราช  เป็นประเพณีที่มีการปฏิบัติต่อกันมาเป็นเวลายาวนานและประการสำคัญประเพณีนี้ยังตกทอดมาเป็นมรดกของลูกหลานในทุกวันนี้นับเป็นมรดกที่เชิดหน้าชูตาชาวนครศรีธรรมราชอย่างยิ่งประเพณีหนึ่ง  

            6. ประเพณีสารทเดือนสิบ เป็นประเพณีที่สำคัญคู่บ้านคู่เมืองนครศรีธรรมราชมาช้านาน การเกิดขึ้นของประเพณีนี้เกิดจากคติความเชื่อเรื่องผีสางเทวดากับความเชื่อทางพระพุทธศาสนา  ลังกาวงศ์ที่มีพระบรมธาตุเจดีย์เป็นศูนย์กลางแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ  ผลผลิตทางการเกษตร และการนำผลผลิตทางการเกษตรมาทำบุญอุทิศให้แก่ บรรพชนญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้ว จึงได้ร่วมกันจัดงานรื่นเริงเพื่อเฉลิมฉลองร่วมกันที่บริเวณวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารและวัดภายในชุมชนเพื่อเป็นกำลังใจในการปฏิบัติภารกิจต่อไป
            งานบุญสารทเดือนสิบมาจากความเชื่อเรื่อง “ปุพพเปตพลี” ในพระพุทธศาสนา เมื่อมนุษย์สร้างบุญกรรมอะไรไว้ก็จะได้รับผลตามการกระทำอย่างนั้นเรียกว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” โดยเฉพาะการทำชั่วเมื่อตายไปจะตกนรกไปรับกรรมมากน้อยตามผลที่ทำในชาติปางก่อน  คนที่ตกนรกพวกนี้เรียกว่า “เปรต” เมื่อถึงปลายเดือน 10 (แรม 1 ค่ำ เดือน 10) พวกเปรตซึ่งกำลังผอมโซ  หิวโหยมาก  ดังคำพังเพยว่า "อยากเหมือนเปรตเดือนสิบ" พญายมจะปล่อยให้กลับมาพบญาติพี่น้องและลูกหลานของตนในเมืองมนุษย์  เพื่อมาขอเสื้อผ้าอาหารขอส่วนบุญกุศลต่างๆ ที่ญาติจะอุทิศทำบุญให้และจะต้องรีบกลับไปเมืองนรกเมื่อถึงวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10  ดังนั้นถ้าลูกหลานไม่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ปู่ย่าตายายก็จะอดอยากหิวโหยอัตคัดขัดสนสิ่งของเครื่องใช้ได้รับความทุกข์ยากและด่าสาปแช่งลูกหลานที่ไม่รู้จักกตัญญูรู้บุญคุณของบรรพบุรุษให้ได้รับบาปกรรมเดือดร้อนชีวิตไม่เจริญรุ่งเรืองตามไปด้วย ลูกหลานจึงต้องยึดมั่นถือเป็นภาระหน้าที่สำคัญยิ่ง เป็นกิจกรรมที่ต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด  ในการทำบุญอุทิศส่วนกุศลมากน้อยจะขาดเสียมิได้ซึ่งงานบุญใหญ่มี 3 วัน ดังนี้
            วันแรม 13 ค่ำ เดือน 10 ชาวพื้นเมืองเรียกว่า "วันจ่าย" คือ วันที่แต่ละบ้านจะต้องเตรียมจับจ่ายซื้อหาสิ่งของต่างๆ ที่จะทำบุญมีทั้งผักผลไม้อาหารแห้ง  สิ่งของเครื่องใช้นานาชนิดที่พระสงฆ์จำเป็นต้องใช้และเก็บรักษาไว้ฉัน (กิน) ไว้ใช้ได้นานๆ เนื่องจากเข้าฤดูฝนการบิณฑบาตอาหารการกินจะขาดแคลนและไม่สะดวก  จึงได้จัดใส่ภาชนะ เช่น กระจาด ตะกร้า กระเชอ กะละมัง ถัง ชะลอม หลัว กระบุง ชาวเมืองนครศรีธรรมราช เรียกว่า "หมฺรับ" (สำรับ) อย่างใหญ่สำหรับถวายสังฆทาน  จัดเป็นสลากภัตงานบุญใหญ่และอาหารแห้งอย่างหนึ่งที่จะขาดเสียมิได้ที่เป็นหัวใจของสำรับ คือ ขนมเดือนสิบ เพราะเป็นขนมประเพณีที่ปฏิบัติสืบมาแต่โบราณสำหรับให้เปรตนำไปใช้สอยในเมืองนรกมี 5 ชนิด ดังนี้
            1) ขนมลา  เป็นแป้งทอดโรยเป็นเส้นเล็กๆ มีลักษณะคล้ายเส้นด้ายหรือการทอผ้า สมมติเป็นเครื่องนุ่งห่มแพรพรรณและอาหาร  
            2) ขนมพอง เป็นข้าวเหนียวทอดเม็ดพอง ทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ตรงกลางเป็นร่องแอ่น สมมติเป็นเรือแพยานพาหนะสำหรับเดินทางข้ามห้วงมหรรณพและเป็นเครื่องประดับ
            3) ขนมบ้าหรือขนมมด เป็นขนมแผ่นรูปกลมแบนทอด คล้ายลูกสะบ้าไม่มีรู สมมติเป็นเงินเบี้ยหรือเงินตราเงินเหรียญ ใช้จับจ่ายหรือใช้เป็นลูกสะบ้าเล่นกีฬาพักผ่อนเล่นสนุกเพื่อความบันเทิง 
            4) ขนมดีซำหรือขนมเจาะหู เป็นขนมปั้นรูปกลมแบน ตรงส่วนกลางมีรูคล้ายขนมโดนัทของฝรั่ง สมมติเป็นเงินเบี้ยสำหรับใช้สอยหรือเป็นสตางค์มีรูในสมัยก่อนหรือใช้เป็นต่างหูเครื่องประดับก็ได้       
            5) ขนมกงหรือขนมไข่ปลา เป็นขนมรูปวงกลมอย่างวงล้อเกวียนมีกงกำ สมมติเป็นเครื่องประดับตกแต่งร่างกายทั่วไปและขนมลาลอยมันหรือขนมรังนก สมมติเป็นฟูกหมอน เครื่องนอน  บางท้องถิ่นใช้ขนมเทียนสมมติให้ใช้เป็นหมอนหนุน ซึ่งเป็นขนมประเพณีรายการที่เพิ่มเข้ามาทีหลัง อาจมีหรือไม่มีก็ได้เวลาทำบุญ 
             วันแรม 14 ค่ำ เดือน 10  ชาวเมืองนครศรีธรรมราช เรียกว่า "วันยกหมฺรับ" และถือเป็นวัน "ตั้งเปรต" ด้วยคือ เป็นวันยกภาชนะสำรับต่างๆ ที่บรรจุสิ่งของทำบุญทุกอย่างไว้แล้วตกแต่งอย่างเรียบร้อยสวยงามนำไปทำบุญถวายพระที่วัด ถ้าเป็นภาชนะขนาดใหญ่หนักมากต้องหาบคอนไป ถ้าเป็นขนาดเล็กอาจถือหิ้วใส่เอวกระเดียดไปได้ลูกหลานเดินตามกันเป็นแถว
             เมื่อทำบุญพระสงฆ์ฉันภัตตาหารเสร็จ  แต่ละครอบครัวก็ออกไปทำพิธี "ตั้งเปรต" บางวัดเขาก็จัดทำสถานที่รวมไว้ให้โดยเฉพาะเป็น "หลาเปรต" (ศาลาเปรต) หรือร้านเปรต บางวัดให้ต่างคนต่างทำตามความสะดวกพอใจ บางวัดทำเป็นหอคอยยกเสาสูงราว 5 เมตร  เพื่อให้คนปีนเสาทาน้ำมันลื่นแข่งขันกันเรียกว่า "ชิงเปรต" การตั้งเปรตคือการเอาอาหารคาวหวานทุกชนิด  รวมทั้งดอกไม้ธูปเทียนเศษสตางค์ใส่กระทงไปวางบนแผ่นกระดาษขนาดใหญ่  ทำพิธีกรวดน้ำเซ่นไหว้แผ่ส่วนกุศลให้แก่บรรพชน ซึ่งมักนิยมเลือกสถานที่ใกล้กับเมรุ ป่าช้าหรือริมรั้ววัด  เมื่อเสร็จพิธีลุกขึ้นก็จะมีพวกเด็กๆ มาแย่งอาหารและหาเศษสตางค์กัน ลักษณะการแย่งชิงชุลมุนเพื่อเอาสิ่งของตั้งเปรต เรียกว่า
"ชิงเปรต"
            วันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ชาวเมืองนครศรีธรรมราช เรียกว่า "วันฉลองหมฺรับ" หรือเป็น "วันสารท" เป็นวันสุดท้ายของการทำบุญครบสมบูรณ์ตามประเพณีถือเป็นการทำบุญเพื่อเป็นการฉลองหมฺรับ  ซึ่งได้จัดขึ้นเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่วันแรม 14 ค่ำ วันนี้จึงมีพิธีทำบุญเลี้ยงพระสงฆ์และทำพิธีบังสุกุล กระดูกเพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษญาติมิตรผู้ล่วงลับไป  ถือเป็นวันสุดท้ายของงานบุญใหญ่และถือเป็น วันส่งเปรต อีกด้วยคือ ใครมีอาหารมีสิ่งใดที่จะทำบุญก็นำมาทำให้หมดในวันนี้จึงถือเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่ง  
            7. ประเพณีลากพระ เป็นประเพณีที่เกิดขึ้นในเมืองนครศรีธรรมราชในช่วงวันออกพรรษา ซึ่งชาวเมืองนครศรีธรรมราชมีความเชื่อกันว่าอานิสงส์ของการลากพระทำให้ฝนตกตามฤดูกาล เพราะชาวเมืองส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม ต้องการไร่นาที่อุดมสมบูรณ์ เพิ่มพูนผลผลิต  การที่ฝนตกตามฤดูกาลเป็นสิ่งสำคัญที่ก่อให้เกิดความเชื่อว่าเมื่อลากพระกลับถึงวัดแล้วฝนจะตกหนัก จึงได้ทำรูปสัญลักษณ์ของพญานาคในการลากพระ  เพราะเชื่อกันว่าพญานาคเป็นผู้ให้น้ำและใครได้ลากพระทุกปีจะเป็นผู้ได้รับผลบุญเป็นอย่างมากที่จะส่งผลให้ประสบความสำเร็จในชีวิต  การลากพระของชาวเมืองนครศรีธรรมราชมักจะลากพระไปตามถนนราชดำเนินผ่านหน้าวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารเพื่อบูชาพระบรมธาตุเจดีย์และลากพระไปตามทุ่งนารอบๆ เมืองเพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้ลากพระในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี
            ตามพุทธประวัติกล่าวว่าวันที่พระองค์เสด็จลงมาจากสวรรค์สู่มนุษย์โลก  หลังจากเสด็จขึ้นไปเทศนาโปรดพระพุทธมารดา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ตลอดพรรษา คือ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 อันเป็นวันสุดท้ายของพรรษา ทรงเสด็จลงมาตามบันไดแก้ว  โดยมีบันไดทองอยู่ทางเบื้องขวาสำหรับเทพยดาเสด็จลงมาส่ง  บันไดเงินอยู่ทางเบื้องซ้ายสำหรับพระพรหมเสด็จลงมาส่ง  บันไดทั้งสามทอดลงมายังประตูนครสังกัสสะ เมื่อเสด็จถึงประตูเมืองเป็นเวลาเช้าตรู่ของวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 อันเป็นวันออกพรรษาพอดี  พุทธบริษัททั้งหลายทราบข่าวต่างมาคอยต้อนรับเสด็จอย่างเนืองแน่น เพื่อจะคอยตักบาตรถวายภัตตาหารบ้าง ดอกไม้ธูปเทียนบ้าง  ซึ่งเป็นที่มาของประเพณี ตักบาตรเทโว ทางภาคกลาง  สำหรับภาคใต้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมมีเฉพาะบางแห่ง  เช่น สงขลา เพราะมีเขาตังกวนอยู่กลางเมือง  แต่ทว่าในพุทธประวัติมีนิทานเล่าประกอบเหตุการณ์ตอนนี้ว่าเนื่องจากมีคนมากมายโกลาหลไม่สามารถเข้าถึงพระพุทธองค์ได้  จึงเกิดประเพณีทำขนมขึ้นชนิดหนึ่งที่ห่อด้วยใบไม้ (ใบจาก ใบเตย ใบกะพ้อ) เรียกว่า ขนมต้ม หรือ “ห่อต้ม” หรือ “ห่อปัด” สำหรับโยนและปาจากระยะห่างเข้าไปถวายได้  ซึ่งความจริงอาจเป็นความสะดวกในการนำพาไปทำบุญ  สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานและสะดวกต่อการนำพาไปกินเวลาหิวขณะลากพระ  ตลอดจนการขว้างปาเล่นกัน (ซัดต้ม) ดังนั้นขนมต้มจึงถือเป็นขนมหลักที่เป็นเอกลักษณ์ประจำเทศกาลสารทเดือนสิบ ดังมีคำกล่าวว่า เข้าษา กินตอก ออกษากินต้ม คือ ขนมประเพณีประจำเทศกาลเข้าพรรษาคือข้าวตอก ขนมออกพรรษา  คือ ขนมต้มถือปฏิบัติมาแต่โบราณ    
            การลากพระของชาวเมืองนครศรีธรรมราชและชาวปักษ์ใต้เป็นการสมมติและการสมโภชเฉลิมฉลองตามเหตุการณ์ในพุทธประวัติ  โดยวิธีอัญเชิญพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรหรือปางประทานอภัย เรียกว่า พระลาก ขึ้นประดิษฐานบนบุษบก  ซึ่งถ้าเป็นทางบกบุษบกจะตั้งอยู่บนพาหนะทำเป็นรูปเรือหรือพญานาค (ไม่มีล้อ) เรียกกันว่า นมพระ หรือ “พนมพระ” อันแสดงว่าเดิมประเพณีนี้น่าจะเกิดจากการแห่ทางน้ำหรือทุ่งนาขึ้นก่อน ชักลากแห่แหนไปยังตำบลต่างๆ ใกล้เคียง ถ้าเป็นการลากพระทางน้ำหรือทางเรือเรียกว่า เรือพระ คือ เอาเรือหลายลำมาเทียบเคียงขนานผูกติดกันเป็นแพขนาดใหญ่ ประดับตกแต่งอย่างปราสาทมณฑปอย่างวิจิตร  แห่แหนมีเครื่องดนตรีประโคมตามแม่น้ำลำคลอง ทะเลสาบ ทำให้เกิดประเพณีการละเล่นต่างๆ ตามมาอีก เช่น  การเล่นเรือเพลง การประชันปืด (ตะโพน) การประชันโพน (กลอง) การแข่งเรือและการประกวดประชันอื่นๆ ตลอดจนการสร้างพระพุทธรูปขึ้นใหม่เพื่อใช้ในงานประเพณี เป็นต้น
             วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11  เป็นการทำบุญออกพรรษาตามปกติ   ซึ่งในตอนกลางคืนระหว่างที่มีพิธีสมโภชพระลากและมีพิธี คุมพระ หรือ “ประโคมพระลาก” อีกด้วย พอถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 เป็นวันออกพรรษาในตอนเช้าตรู่มีการตักบาตรพระลากหรือตักบาตรพระพุทธเจ้า เรียกว่า  ตักบาตรหน้าล้อ และลากพระออกจากวัดไปตามถนนประมาณ 1-2 วัน อย่างสนุกสนาน  
            เพลงลากพระร้องเป็นกลอนสด  บางครั้งอาจมีลักษณะสองง่ามสามแง่ เนื่องจากเพื่อความสนุกสนานคนลากพระจึงกินเหล้าเข้าไปบ้าง  เป็นพวกวัยรุ่นบ้าง ต้องการเย้าแหย่สังคมแวดล้อม  สะท้อนปัญหาเรื่องของชาวบ้าน  จึงใช้ปฏิภาณไหวพริบร้องไปเพื่อคลายร้อนคลายเหนื่อย  คนดูคนฟังก็พลอยชอบใจอมยิ้มตามไปด้วย เช่น ร้องว่า ลากพระไม่ไป สาวสาวพุงใหญ่ (ท้อง) เกิดลูกลอยคลอง มีเรื่องว่าเมื่อประมาณปี พ.ศ.2502  ก่อนถึงงานลากพระแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ชาวบ้านในตำบลนา (ตำบลในเมือง) อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ใกล้กับประตูชัยสิทธิ์หรือประตูชัยใต้  นำลูกแรกคลอดไปลอยทิ้งในคลองป่าเหล้าตอนกลางคืน  รุ่งเช้าชาวบ้านไปพบศพทารกเกิดโจทย์ขานกันเป็นข่าวใหญ่ว่าเป็นลูกของใครกันแน่  บ้างวิจารณ์ว่าเป็นลูกที่ไม่มีพ่อหรือฝ่ายชายไม่รับเลี้ยงดูแม่เลยเอาลูกมาทิ้งในคลอง  เมื่อถึงงานลากพระชาวบ้านจึงนำมาร้องเป็นเพลงลากพระ เช่นร้องว่า ลากพระไม่ไป ถ่านไฟแทงหยวก มีที่มาที่ไปเช่นเดียวกัน  เรื่องจริงมีว่าวัฒนธรรมจังหวัดคนหนึ่งที่นครศรีธรรมราชเป็นคนภาคกลางผิวดำได้มาแต่งงานกับลูกสาวจีนผิวขาวที่ประตูชัยใต้ เหตุการณ์ผ่านมาไม่นานชาวบ้านมีปฏิภาณดี  เมื่อลากพระผ่านสี่แยกประตูชัยใต้จึงร้องเพลงสัพยอก  ตามปกติขณะลากพระไปถึงไหนพบเห็นเหตุการณ์อะไรมีความรู้เรื่องเก่าใหม่อย่างไรก็จะร้องกันให้เข้ากับเรื่องราวบรรยากาศได้เสมอ  เพลงลากพระจึงสนุกและทุกคนสามารถเป็นต้นเสียงกันร้องนำได้ตลอดเวลา อย่างร้องว่า “ลากพระขึ้นควน สีนวลแพล็ดๆ” ก็มาจากเรื่องจริงแต่ครั้งโบราณ คือ มีผู้หญิงคนหนึ่งบ้านอยู่แถวตำบลในเมืองใกล้วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารได้เป็นผู้สร้างพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรเป็นพระลากซึ่งได้ถวายไว้ที่วัดหน้าพระบรมธาตุ  ผู้คิดแต่งคำร้องเพลงพระลากจึงนำมาร้องสรรเสริญ  แต่ต่อมาภายหลังมีผู้นำมาร้องแปลงใหม่จนกลายเป็นคำไม่สุภาพไป เป็นต้น ประเพณี  ลากพระนี้บางแห่งทำปีละ 2 ครั้ง คือ ครั้งหลังมีในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 5  (วันที่ 15 เมษายน) หลัง วันว่างหรือเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทยมีถือปฏิบัติกันอยู่ที่พัทลุงและปัตตานี วันขึ้นปีใหม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งชุดใหม่กัน
ทุกคน ดังนั้นก่อนสงกรานต์ชาวบ้านจะต้องเตรียมทอผ้าไว้ตัดเย็บชุดใหม่เป็นประเพณีมีมาแต่โบราณ   ประเพณีลากพระและการตกแต่งพนมพระหรือเรือพระบก ปัจจุบันบางวัดก็ยังรักษารูปแบบเดิม  ส่วนบางวัดก็ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบด้วยการใช้รถยนต์ตกแต่งเป็นเรือพระเพื่อนำเข้าประกวดตามสถานที่ต่างๆ ที่ห่างไกล
            8. ประเพณีสวดด้าน เป็นประเพณีที่เกิดขึ้นมาจากผู้คนที่มีศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์และพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช  ซึ่งได้เดินทางมานมัสการพระบรมธาตุเจดีย์และร่วมพิธีทำบุญทางพระพุทธศาสนาในวันธัมมัสสวนะหรือวันพระขึ้นแรม 8 ค่ำ 14 ค่ำ หรือ 15 ค่ำ โดยที่พุทธศาสนิกชนได้ไปร่วมชุมนุมกันที่บริเวณลานด้านใดด้านหนึ่งของระเบียงวิหารคดและวิหารทับเกษตรรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์เพื่อรอฟังพระธรรมเทศนา  ในขณะที่รอฟังการแสดงพระธรรมเทศนาอยู่นั้นผู้คนมักจะนั่งพูดคุยกันเรื่องราวต่างๆ และเห็นว่าเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ทุกคน จึงได้จัดหาหนังสือบุดหรือสมุดข่อยที่จารด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับชาดกทางพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์มาอ่านหรือสวดให้ผู้ที่มาชุมนุมฟัง  จึงทำให้เกิดประเพณีสวดหนังสือขึ้น  แต่เนื่องจากสถานที่สวดหนังสือเป็นบริเวณลานด้านใดด้านหนึ่งของระเบียงวิหารคดและวิหารทับเกษตรหรือด้านรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์ เรียกว่า “สวดด้าน”     
            การสวดด้าน คือ การอ่านหนังสือร้อยกรองอันเป็นวรรณกรรมพื้นเมืองท้องถิ่นให้แก่ผู้คนที่มานั่งรอการฟังพระแสดงพระธรรมเทศนาหลังเวลาฉันภัตตาหารเพลอยู่ตามระเบียงวิหารคดและวิหารทับเกษตร มีผู้คนจำนวนมากบ้างน้อยบ้าง  ซึ่งมีผู้คนไปนั่งรอกันอยู่ทุกด้านในแต่ละด้านจะมีธรรมาสน์สำหรับพระนั่งแสดงธรรมเทศนา  ขณะที่นั่งกันอยู่นั้นจะมีการคัดเลือกบุคคลผู้มีความรู้ทางด้านการอ่านหนังสือเป็นผู้อ่านหนังสือหรือสวดหนังสือ  หนังสือที่ใช้สวดหรืออ่านส่วนใหญ่เป็นหนังสือบุดที่ผู้สวดจัดหามาเองหรืออาจจะยืมหนังสือของวัด  หนังสือเหล่านั้นจะเป็นหนังสือชาดกทางพระพุทธศาสนาและหนังสือวรรณกรรมท้องถิ่นที่ให้คติสอนใจ เช่น เรื่องโคบุตร พระรถเมรี สุบิน   ทินวงศ์ สี่เสาร์ กระต่ายทอง พระรถเสน (ของนายเรือง นาใน) เสือโคคำฉันท์ (ของพระมี) เป็นต้น  หนังสือเหล่านั้นแต่งเป็นคำประพันธ์ประเภทร้อยกรอง  ผู้สวดจะสวดทำนองเสนาะเป็นภาษาถิ่นใต้  บางครั้งผู้สวดจะเน้นเสียงเป็นจังหวะ  รู้จักเล่นท่าเล่นทางประกอบในตอนที่จำเป็น เช่น  การใช้สีหน้า  การโยกตัวและการแสดงท่าทางประกอบบ้าง  บางครั้งคนสวดเป็นนักเทศน์เก่าแหล่ หมอทำขวัญนาค ครูมาลัย นายหนังตะลุง มโนราเก่าหรือเพลงบอก  การสวดการอ่านได้ดีเป็นที่ติดอกติดใจของผู้ฟังมาก  จึงทำให้คนแก่คนเฒ่าที่ไม่รู้หนังสือก็สามารถจำบทกลอนในหนังสือได้ตลอดเล่ม ส่วนผู้คนที่มาร่วมฟังสวดก็จะมีการบริจาคทรัพย์หรือเลี้ยงข้าวปลาอาหารแก่ผู้สวด แต่ส่วนใหญ่ผู้สวดจะใช้เงินส่วนนี้ถวายพระสงฆ์หรือถวายวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ในการสวดด้านผู้สวดจะต้องใช้ความสามารถสูง  เพราะถ้าสวดไม่เป็นที่พอใจของผู้ฟังๆ จะทยอยไปฟังการสวดที่ด้านอื่น  การสวดด้านผู้สวดจะสวดไปเรื่อยๆ จนได้เวลาที่พระภิกษุมาถึงสถานที่นั้นเพื่อที่จะแสดงธรรมเทศนา  จึงหยุดสวดแม้ว่าเรื่องที่สวดจะยังไม่จบก็ตาม เพราะว่าสามารถที่จะนำไปสวดต่อในวันพระต่อไปได้ ซึ่งปัจจุบันมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตศรีธรรมาโศกราชได้ฟื้นฟูและอนุรักษ์ประเพณีสวดด้านวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร แต่รูปแบบการสวดได้เปลี่ยนไปจากเดิมที่มีคนอ่านหนังสือวรรณกรรมท้องถิ่นให้ฟัง ด้วยการนำหนังสือพระนิพพานโสตรมาสวดพร้อมๆ กันและเวลาก็เปลี่ยนไปจากเดิม เป็นต้น
            9. ประเพณีสวดพระมาลัย เป็นประเพณีอันเนื่องมาจากงานศพของชาวเมืองนครศรีธรรมราช  ซึ่งเกิดขึ้นจากคติความเชื่อทางพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ที่มีพระบรมธาตุเจดีย์เป็นศูนย์กลางของความศักดิ์สิทธิ์  เมื่อมีคนตายก็ต้องนิมนต์พระสงฆ์มาสวดที่บ้านตามธรรมเนียมทั่วไป  เมื่อพระสงฆ์กลับวัดแล้ว  ถ้าไม่มีเครื่องดนตรี กาหลอประโคมตอนดึกจะเกิดความเงียบเหงาวังเวง น่ากลัว จึงเกิดความคิดให้ฆราวาสเลียนแบบพระสงฆ์มานั่งสวดพระธรรมคัมภีร์เรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา หนังสือที่สวดคือหนังสือพระมาลัยที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนตาย ซึ่งเขียนเป็นกลอนสวดลงในหนังสือบุด จารึกตัวอักษรเป็นขอมไทย ทำนองประพันธ์เป็นกาพย์ เรียกว่า คัมภีร์มาลัยหรือหนังสือมาลัยหรือหนังสือสวดมาลัย กวีนิพนธ์เมืองนครศรีธรรมราชได้ร้อยกรองเพื่อใช้สวดในงานศพ  ซึ่งค้นพบที่วัดสวนป่าน ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช  ดังนั้นการเกิดประเพณีสวดพระมาลัยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นเพื่อนแก้เงียบเหงาวังเวงและให้คนอยู่หลังมีสติยั้งคิดได้คติธรรมปลงอนิจจังและเป็นเพื่อนกับเจ้าของบ้านสร้างบรรยากาศไม่ให้เศร้าสร้อย  จากการฟังเรื่องของพระมาลัย  ซึ่งเป็นพระสงฆ์ผู้บรรลุธรรมมีอิทธิฤทธิ์เหาะเหินได้  สามารถเดินทางไปยังนรกและสวรรค์  ได้พบเห็นสภาพของมนุษย์ที่ทำชั่วตกนรกอันน่าเวทนา ซึ่งต่างกับผู้ทำบุญกุศลความดีได้ไปเกิดบนสวรรค์พบเทวดามีความสุข  จึงนำมาสั่งสอนบอกเล่าให้มนุษย์คนทั่วไปรู้ถึงผลของกรรม เพื่อให้ตระหนักในบาปบุญคุณโทษและปฏิบัติตนในทางที่ชอบ ความนิยมสวดพระมาลัยมีมากที่เมืองนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี พัทลุงและสงขลา
            ผู้เล่นสวดพระมาลัยจะต้องเป็นคนอ่านหนังสือแตกฉาน  เคยบวชเรียนมาก่อนบ้าง  คณะสวดพระมาลัยคณะหนึ่งมีจำนวน 4  คนหรือมากกว่านั้นก็ได้ ทำหน้าที่เป็นแม่เพลง (แม่คู่) 2 คน เป็นลูกคู่ (คู่หู) 2 คน แต่ละคนถือตาลปัตร  แต่งกายตามมีตามเกิดหรือเลียนแบบพระสงฆ์บ้างหรือแต่งกายออกไปทางตลกขบขันบ้าง เน้นสนุกสนานขบขัน  บางวงอาจมีเครื่องแบบ มีเครื่องดนตรีประกอบ เช่น กลอง รำมะนา ปี่ ขลุ่ย เป็นต้น บางครั้งเวลาสวดมีการกระทุ้งด้ามตาลปัตร เล่นลำนอกกระโดดโลดเต้นบ้าง  ซึ่งมักจะดื่มสุราบ้างเพื่อป้องกันง่วงและปลุกเร้าใจให้มีอารมณ์สนุกอยู่เสมอ การสวดพระมาลัยมีพิธีการตามลำดับ ดังนี้ 
            1) เริ่มต้นด้วยการสวดบท “นโม” เพื่อไหว้ครูก่อนตามธรรมเนียมโบราณ การสวดทำนองกลอน เรียกว่า “ตั้งนโม”
            2) ดำเนินเรื่อง เรียกว่า “ตั้งในการ” กล่าวถึงประวัติของพระมาลัยอย่างละเอียด
            3) กล่าวบทที่เรียกว่า “สำหรับบท” กล่าวถึงพุทธประวัติและพระเกียรติคุณของพระองค์  
            4) กล่าวบทที่เรียกว่า “พระเถร” กล่าวบทคุณของพระมาลัยผู้เป็นต้นเรื่อง
            5) กล่าวบทที่เรียกว่า “ฉันชา” กล่าวบรรยายคุณของการสมาทานศีลโทษการผิดลูกผิดเมียผู้อื่น
            6) กล่าวบทที่เรียกว่า “เมียท่าน” กล่าวบรรยายความชั่วช้าในการคบชู้ผิดศีลธรรม
            7) กล่าวบทที่เรียกว่า “เบ็ดเตล็ด” หรือ “ลำนอก” เป็นการกล่าวเล่นนอกเรื่องพระมาลัย  ซึ่งกลายเป็นตอนที่ยาวนานหรือเป็นหัวใจของการสวดไปแม้จะถือเป็นของแถม  แต่ความสนุกสนานหรือการเล่นนอกบทสามารถทำได้มากมีคนสนใจมาดูมาฟังแม้แต่เด็ก เช่น อาจแสดงเป็นลิเก เล่นเรื่องจันทโครพก็อยู่ได้เกือบทั้งคืน   
            การสวดพระมาลัยได้เปลี่ยนไปตามสภาพสังคม ซึ่งไม่ได้ปฏิบัติไปตามรูปแบบเดิม โดยที่คณะเหล่านั้นนั่งล้อมวงข้างหน้าหีบศพไม่จำกัดตำแหน่งกี่คนก็ได้ มีการผลัดกันร้องผลัดกันรับ มีการต่อกลอนกันทั้งวงและไม่มีการใช้ตาลปัตรเหมือนแต่ก่อน  การสวดพระมาลัยในสมัยก่อนมีแพร่หลายมากนิยมสวดทุกงานศพ แต่ปัจจุบันการสวดพระมาลัยได้หมดความนิยมไป นักพระสวดมาลัยที่เหลืออยู่ก็แก่เฒ่า ผู้สนใจฝึกหัดสืบต่อก็ไม่มี ในอนาคตการสวดพระมาลัยน่าจะเหลือเพียงชื่อเท่านั้น
            10. ประเพณียกขันหมากปฐม เป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการทำบุญในพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่งที่มีการปฏิบัติสืบต่อกันมายาวนานในเมืองนครศรีธรรมราช  ส่วนใหญ่มักจะกระทำกันในวัดตามชนบท  หากวัดมีความจำเป็นที่จะต้องหาเงินมาใช้ในการสร้างเสนาสนะใหญ่ๆ เช่น อุโบสถ วิหาร กำแพงวัด เป็นต้น  การยกขันหมากปฐมเป็นพิธีที่เนื่องในพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์  โดยการอาศัยเค้าและแบบอย่างมาจากพระพุทธประวัติตอนอาวาหมงคลของพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายาเป็นแบบอย่าง  ด้วยการสมมติคู่บ่าวสาวขึ้นมาคู่หนึ่งเจ้าบ่าวให้แทนพระเจ้าสุทโธทนะและเจ้าสาวแทนพระนางสิริมหามายา สมมติผู้สูงอายุให้เป็นพระญาติวงศ์ของแต่ละฝ่ายตามพระพุทธประวัติและจัดพิธีแต่งงานขึ้นตามแบบอย่างในพระพุทธประวัติทุกประการ ตั้งแต่โบราณมานิยมจัดพิธีแต่งงานขึ้นในเดือนหกเพียงเดือนเดียว  ครั้นในระยะหลังมาจัดในเดือนอื่นๆ เพิ่มอีกหลายเดือน เช่น เดือนเก้า เดือนสิบเอ็ด และเดือนสิบสอง แต่พิธียกขันหมากปฐมมิได้มีการยึดถือตามนั้น  เพราะจัดขึ้นเมื่อใดก็ได้ที่วัดมีความประสงค์ที่จะจัด  ส่วนใหญ่จะยกเว้นเฉพาะในฤดูเข้าพรรษาเพียงสามเดือนเท่านั้น    
            การประกอบพิธีนี้จะเริ่มต้นด้วยการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ของวัด  ตลอดจนการจัดหาคู่บ่าวสาว  ซึ่งส่วนใหญ่คัดเลือกจากผู้ที่ยังเป็นโสดที่มีลักษณะสวยงามและเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง  บางคราวในพิธีนี้มีการเลือกเอาผู้หญิงล้วนมาเป็นคู่บ่าวสาวและบางคราวมีการเลือกเอาชายจริงหญิงแท้มาเป็นคู่บ่าวสาวแล้วแต่ความเหมาะสม  ในวันประกอบพิธีจะมีการยกขันหมากตามประเพณีมาที่วัดในสถานที่จัดงานนี้  โดยเจ้าบ่าวเจ้าสาวและผู้สมมติเป็นพระญาติวงศ์แต่งกายอย่างกษัตริย์ตามความในพระพุทธประวัติ  (อาจหยิบยืมเครื่องแต่งกายจากคณะมโนราหรือคณะลิเก)  เมื่อยกขันหมากปฐมมาถึงวัดก็นำขันหมากไปวางในวิหารที่ใช้ประกอบพิธี ถัดจากนั้นพราหมณ์จะเริ่มทำพิธีตามแบบแผน  หลังจากนั้นคู่บ่าวสาวจะไปไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายตามที่สมมติขึ้น ญาติเหล่านั้นมอบสิ่งของที่ระลึกให้คู่บ่าวสาวซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นเงิน เพราะวัดต้องการเงินมากกว่าสิ่งของอย่างอื่น  เจ้าบ่าวเจ้าสาวออกไปไหว้ผู้มาร่วมงานทุกคน  โดยทุกคนจะมอบเงินให้คู่บ่าวสาวเมื่อเสร็จสิ้นแล้วจึงนำเงินมารวมกันกับเงินในขันหมากที่เตรียมมาแล้วถวายเงินทั้งหมดให้แก่วัด เพื่อใช้ในการก่อสร้างเสนาสนะตามวัตถุประสงค์ของวัดต่อไป  จากนั้นคู่บ่าวสาวญาติและผู้ร่วมงานทุกคนมาร่วมกันในสถานที่ประกอบพิธีอีกครั้งหนึ่ง  เพื่อบูชาพระรัตนตรัย รับศีล ฟังเทศน์ฟังธรรมจนเสร็จพิธีสงฆ์ เมื่อเสร็จพิธียกขันหมากปฐมแล้วก็ช่วยกันเก็บข้าวของจนเรียบร้อยแล้วจึงแยกย้ายกันกลับ
            สรุปว่า พระพุทธศาสนาลังกาวงศ์เผยแผ่เข้าสู่เมืองนครศรีธรรมราชและตั้งมั่นอย่างมั่นคงจนถึงปัจจุบัน  โดยที่พระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ได้รวมเอาลัทธิความเชื่อผีสางเทวดา สิ่งเหนือธรรมชาติ ความเชื่อเรื่องเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และลัทธิความเชื่อท้องถิ่นเข้ามาผสมกลมกลืนกับพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ จึงเป็นความเชื่อที่มีเสน่ห์ในการร้อยรัดเอาสถาบันทางสังคมเข้ามาอยู่รวมกันภายใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ที่มีพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชเป็นศูนย์ แห่งความศักดิ์สิทธิ์  ความเชื่อเหล่านั้นได้นำไปสู่พิธีกรรมทางสังคมที่มีความสำคัญต่อวิถีชีวิตที่ได้ปฏิบัติสืบต่อกันมาจนกลายเป็นประเพณีท้องถิ่นที่สร้างความเป็นปึกแผ่นทางสังคม ได้แก่ ประเพณีการบวช ประเพณีการให้ทานไฟ ประเพณีกวนข้าวมธุปายาสยาโค ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ประเพณี ตักบาตรธูปเทียน ประเพณีสารทเดือนสิบ ประเพณีลากพระ ประเพณีสวดด้าน ประเพณีสวดพระมาลัย และประเพณียกขันหมากปฐม    

บรรณานุกรม
จันทรา ทองสมัคร. "ประเพณีสวดด้าน" นครศรีธรรมราช 26, (กรกฎาคม 2539) : 23
ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์. ศิลปวัฒนธรรมภาคใต้. กรุงเทพมหานคร : สุวีรสาส์น,. 2548.
ปรีชา นุ่นสุข. รายงานการวิจัยเรื่องประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในคาบสมุทรภาคใต้ของประเทศ
            ไทย. คณะกรรมการวิจัยการศึกษา การศาสนาและการวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ,
            2544.
วิมล ดำศรี. ผ้าพระบฎพระราชทาน ปัจจัยและสื่อส่งเสริมสืบสานประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุเมือง      
            นครศรีธรรม. นครศรีธรรมราช : ไทม์ พริ้นติ้ง, 2557.
วิมล ดำศรี. วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร นครศรีธรรมราช มรดกธรรม นำสู่มรดกโลก ภาพลักษณ์
            จากวรรณกรรม. นครศรีธรรมราช : ไทม์ พริ้นติ้ง, 2557.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น