วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

พระพุทธศาสนาลังกาวงศ์กับการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช


บทความวิชาการที่ ๑๑  โดย พระครูวรวิริยคุณ (ปราโมทย์ กลิ่นละมัย)

เรื่อง... พระพุทธศาสนาลังกาวงศ์กับการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช
            พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชเป็นปูชนียสถานที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และพระพุทธศาสนา  ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพุทธศาสนิกชนทั้งหลายถือกันว่าผู้ใดได้มาทำการสักการบูชาพระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้  ย่อมเกิดความเป็นสิริมงคลทั้งแก่ตนเองและครอบครัวหาที่สุดมิได้   นอกจากนี้แล้วบรรดาพุทธศาสนิกชนชาวปักษ์ใต้ก็ถือว่าเป็นมงคลสูงสุดอย่างน้อยที่สุดก็ครั้งหนึ่งในชีวิตขอให้ได้มาสักการบูชาพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชพระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้นับว่าเป็นพระเจดีย์องค์ใหญ่ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภาคใต้   ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช   ตามคติความเชื่อที่มีมาแต่โบราณว่าสูงตั้งแต่พื้นดินถึงยอด ๓๗ วา ๗ ศอก  ยอดหุ้มด้วยทองคำหนัก ๘๐๐ ชั่ง หรือประมาณ ๒๑๖  กิโลกรัม (ส่วนที่หุ้มทองคำสูง ๖ วา ๒ ศอก ๑ คืบ) บริเวณที่หุ้มทองคำนี้ยังมีทองรูปพรรณนานาชนิด  เช่น  พระพุทธรูปแหวน  กำไล ต่างหู เป็นต้น  ผูกแขวนไว้ด้วยเส้นลวดทองอีกเป็นจำนวนมาก   จัดเป็นพระเจดีย์ปูชนียวัตถุที่มีขนาดสูงใหญ่เป็นลำดับที่สองของประเทศไทย  ซึ่งมีความสูงเป็นรองลงมาจากพระปฐมเจดีย์  จังหวัดนครปฐม ซึ่งสูง ๖๐ วา หรือ ๓ เส้นเศษ  ถ้าจะกล่าวถึงความเก่าแก่กันแล้วพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชเก่าแก่กว่าพระปฐมเจดีย์
            พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชตามตำนานเมืองนครศรีธรรมราช  ตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช  และพระนิพพานโสตร กล่าวว่า พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงสร้างขึ้นเมื่อประมาณปีพุทธศักราช ๑๓๐๐  ในสมัยที่อาณาจักรศรีวิชัยกำลังมีอำนาจรุ่งเรืองอยู่แถบแหลมมลายู  หลักฐานทางโบราณคดียืนยันว่าเมืองนครศรีธรรมราชก็อยู่ในอาณาจักรศรีวิชัยรูปทรงของพระบรมธาตุเจดีย์  ซึ่งสร้างเมื่อครั้งแรกจึงเป็นรูปแบบศิลปะศรีวิชัยเช่นเดียวกันกับพระบรมธาตุเมืองไชยา  จังหวัดสุราษฎร์ธานี  ต่อมาในประมาณพุทธศักราช ๑๗๐๐  พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชจันทรภาณุเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองเมืองนครศรีธรรมราช  ในสมัยนั้นพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์กำลังเจริญรุ่งเรืองอย่างเต็มที่ในลังกา  พระภิกษุจากประเทศใกล้เคียง  เช่น ไทย พม่า ลาว เขมร เป็นต้น  ได้เดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนาในเกาะลังกาเป็นจำนวนมาก  จึงได้นำเอาพระพุทธศาสนาตามแบบลังกามาเผยแผ่ในบ้านเมืองของตนรวมทั้งเมืองนครศรีธรรมราชที่ได้ชักชวนพระภิกษุชาวลังกาเดินทางมาถึงเมืองนครศรีธรรมราช  เมื่อพระภิกษุชาวลังกามาเห็นพระมหาธาตุเจดีย์องค์เก่าชำรุดทรุดโทรมจึงได้ช่วยกันบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่  แต่มิได้ทำลายพระเจดีย์องค์เก่าเพียงแต่ก่อพระเจดีย์องค์ใหม่ตามแบบอย่างของศิลปะแบบลังกาหุ้มครอบพระเจดีย์องค์เดิมไว้ เช่นเดียวกันกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔  ทรงให้ก่อพระเจดีย์ครอบพระปฐมเจดีย์องค์เก่าไว้ 
 
             จากเอกสารตำนานเมืองนครศรีธรรมราช  ตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราชและพระนิพพานโสตรสามารถประมวลได้ว่ากำเนิดของพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช  พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเป็นผู้ทรงสร้างว่า
       “พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชหรือโศกราชหรือธรรมโศกหรือศรีธรรมโศกหรือ ธรรมโศกราชแห่งเมืองเอาวราชหรืออวดีหรือสวัสดีราช พร้อมพระนนทราชาพระอนุชาได้ทรงอพยพผู้คนหนีไข้ห่าลงมาทางใต้  มาตั้งถิ่นฐานที่เขาชวาปราบ  เขาวังและลานตะกาหรือลานตอกาหรือลานสกา  และหาดทรายแก้วตามลำดับ  แม้ว่าจะทรงอพยพผู้คนหนีไข้ห่าบ่อยครั้งก็ไม่สามารถหนีไข้ห่าได้  จนต้องทำพิธีทำ “เงินตรา นโม” เพื่อแก้ไข้ห่าตามคำของพระอรหันต์  เมื่อทรงแก้ไข้ห่าได้สำเร็จก็รับสั่งให้เตรียมการขุดหาพระบรมสารีริกธาตุ ณ หาดทรายแก้ว  โดยมีเจ้ากากภาษาจากเมืองโสมพิสัยเป็นผู้ช่วยเหลือในการแก้ภาพยนตร์  ซึ่งเฝ้าอยู่ที่ตึกอันเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ  นอกจากนี้เทวดาและท้าวนาคาได้ช่วยในการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและสร้างเมือง ณ หาดทรายแก้วจนสำเร็จ..”
            ในการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชของพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช  ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช  และตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช  ตำนานทั้งสองนี้ได้สะท้อนให้เห็นตรงกันว่าเมืองขึ้นทั้งสิบสองเมืองหรือเมืองสิบสองนักษัตรได้ “มาช่วยทำอิฐปูนก่อพระมหาธาตุขึ้น” แต่ต้องประสบกับปัญหาที่สำคัญคือการเกิดไข้ห่าผู้คนล้มตายเมืองร้างอยู่เป็นเวลานาน  แต่ต่อมาได้สร้างพระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้สืบต่อมาดังความบางตอนในตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช ดังนี้
       “จึงพระวิศณุกรรมช่วยพระญาก่อพระเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุนั้นไว้  แล้วตั้งเมืองสิบสองนักษัตรขึ้นแก่เมืองนครศรีธรรมราช  ปีชวดตั้งเมืองสายถือตราหนูหนึ่ง  ปีฉลูเมืองตานีถือตราโคหนึ่ง  ปีขาลเมืองกะลันตันถือตราเสือหนึ่ง  ปีเถาะเมืองปาหังถือตรากระต่ายหนึ่ง  ปีมะโรงเมืองไทรถือตรางูใหญ่หนึ่ง  ปีมะเส็งเมืองพัทลุงถือตรางูเล็กหนึ่ง  ปีมะเมียเมืองตรังถือตราม้าหนึ่ง  ปีมะแมเมืองชุมพรถือตราแพะหนึ่ง  ปีวอกเมืองบันท้ายสมอถือตราลิงหนึ่ง  ปีระกาเมืองอุเลาถือตราไก่หนึ่ง  ปีจอเมืองตะกั่วป่าถือตราสุนัขหนึ่ง  ปีกุนเมืองกระถือตราหมูหนึ่ง  เข้ากัน ๑๒  เมืองมาช่วยทำอิฐปูนก่อพระมหาธาตุขึ้นยังหาสำเร็จไม่”
            จากข้อความที่ยกมานี้แสดงให้เห็นว่าหลังจากที่พระอินทร์ได้ทรงส่งพระวิษณุกรรมลงมาช่วยเหลือพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชในการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชได้ทรงตั้งเมืองขึ้นสิบสองนักษัตร คือ เมืองสายบุรี  เมืองปัตตานี  เมืองกลันตัน  เมืองปาหัง  เมืองไทรบุรี  เมืองพัทลุง  เมืองตรัง  เมืองชุมพร  เมืองบันท้ายสมอ  เมืองสะอุเลา  เมืองตะกั่วถลาง  และเมืองกระบุรี  เพื่อการก่อสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชแต่ก็ยังไม่สำเร็จ
            ในการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชของพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชได้มีหัวเมืองน้อยใหญ่ทั้งมวลได้มาช่วยเหลือ  หากเมืองใดมาช่วยไม่ทันการก่อสร้างก็ได้ฝั่งทรัพย์สมบัติที่นำมาเป็นพุทธบูชาไว้ตามสถานที่ต่างๆ  เช่น ตามถ้ำ เป็นต้น  นอกจากนี้พระเจ้ากรุงลังกาและเจ้าเมืองหงสาก็ได้มาช่วยด้วย เพราะว่าเห็นว่าเป็นพระญาติกัน  ฝ่ายพระเจ้ากรุงลังกานั้นได้มาช่วยเหลือ  เพราะว่าทรงทราบจากพระพุทธทำนายไว้ว่าในปีศักราช  ๗๐๐  ปีเศษ พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชแห่งหาดทรายแก้วจะทรงแบ่งพระบรมสารีริกธาตุและสร้างพระบรมธาตุเจดีย์อีกโสดหนึ่ง
            จากการที่พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชสำเร็จจึงเป็นเหตุให้มีหัวเมืองน้อยใหญ่มากมายมาขึ้นในรูปของเมืองสิบสองนักษัตร  ซึ่งทำให้พระเจ้าอู่ทองแห่งกรุงศรีอยุธยาทรงทราบข่าวนี้ด้วยความไม่พอพระทัยเป็นอย่างยิ่งทรงรับสั่งให้ราชทูตถือพระราชสารมากราบทูลให้พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเข้าเฝ้า   แต่พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงไม่ยินยอมที่จะเข้าเฝ้า  เพราะทรงเห็นว่าพระองค์มิได้อยู่ภายใต้อำนาจของท้าวอู่ทองแต่อย่างใด  จึงเป็นการไม่ถูกต้องที่จะทรงจะทำเช่นนั้น  ในที่สุดจึงได้เกิดศึกสงครามกันระหว่างพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชกับท้าวอู่ทอง  จึงได้ทำให้ไพร่พลล้มตายเป็นจำนวนมาก  พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงรำพึงว่าพระองค์ทรงสร้างพระบรมธาตุเจดีย์สำเร็จนับเป็นกุศลมาก   จึงไม่ควรที่จะมาก่อเวรกรรมเพราะการศึกสงครามเช่นนี้  ทรงรับสั่งให้เจรจาสงบศึกแล้วแบ่งดินแดนกับท้าวอู่ทองและได้สัญญาเป็นมิตรไมตรีต่อกันสืบไป
            พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชองค์นี้มีความโดดเด่นของอาณาจักรนครศรีธรรมราช  โดยสัญลักษณ์ที่มีความโดดเด่นมากที่สุดและมองเห็นได้มาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ของอิทธิพลพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์จากศรีลังกาภายในอาณาจักรนครศรีธรรมราช  ที่มักจะเรียกโดยทั่วไปว่า “สถูปทรงลังกา”หรือ “เจดีย์ทรงลังกา”  ซึ่งเป็นสถูปที่ได้ปรากฏขึ้นอย่างแพร่กระจายทั่วทั้งอาณาจักรนครศรีธรรมราชหรือคาบสมุทรสยามหรือคาบสมุทรไทย  และยังปรากฏวิวัฒนาการของสถูปแบบนี้สืบเนื่องมาบนคาบสมุทรแห่งนี้มาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน  โดยสถูปเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้อาศัยสถูปที่เรียกว่า “พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช” ที่ประดิษฐานอยู่ภายในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อำเภอเมือง  จังหวัดนครศรีธรรมราช
            การสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชองค์นี้ได้สร้างขึ้นตามคติความเชื่อเรื่องไตรภูมิและศิลปะแบบลังกา  คติความเชื่อเรื่องไตรภูมิเป็นความเชื่อในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และพุทธที่มีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางของจักรวาลหรือเป็นภูเขาหลักของโลก  ซึ่งตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางของโลกหรือจักรวาล  สถานที่แห่งนี้เป็นที่อยู่ของสิ่งมีวิญญาณในภพและภูมิต่างๆ เช่น สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์  นาค ครุฑ ยักษ์ มาร คนธรรพ์ ฤๅษี และเทวดา โดยมีปลาอานนท์หนุนอยู่รอบๆ เขาพระสุเมรุ



         ตำนานประวัติศาสตร์เมืองนครศรีธรรมราชกล่าวว่า พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชพระองค์ก่อนทรงเป็นผู้สร้างพระเจดีย์องค์นี้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ไว้บนหาดทรายแก้ว  เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๑๓๐๐  ตรงกับสมัยศรีวิชัย  ซึ่งสันนิษฐานกันว่าจะมีลักษณะคล้ายคลึงกันกับพระบรมธาตุไชยา อำเภอไชยา  จังหวัดสุราษฏร์ธานี  มีสระน้ำล้อมรอบองค์พระเจดีย์ซึ่งก็ตรงกันกับคติความเชื่อที่มีมาแต่โบราณที่เชื่อว่าภายในองค์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช  บริเวณฐานของพระบรมธาตุเจดีย์มีสระน้ำขนาดกว้างยาว ๔ วา ลึก  ๕ วา  รองด้วยหินก้อนใหญ่และฉาบทาด้วยปูนเพชร  ภายในสระน้ำใหญ่มีสระน้ำเล็กขนาดกว้างยาว    วา  ลึก   วา และมีขันทองลอยน้ำอยู่  ซึ่งภายในขันทองนั้นบรรจุผอบทองที่มีพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์  การสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ที่มีน้ำล้อมรอบอย่างพระบรมธาตุไชย  พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชหรือการสร้างเมืองนครศรีธรรมราชที่มีคูน้ำล้อมรอบ   อันเป็นการแสดงถึงความเป็นศูนย์กลางของจักรวาลที่มีมหานทีสีทันดรล้อมรอบ  ต่อมาเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๑๗๐๐  พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชจันทรภาณุกษัตริย์ผู้ครองเมืองนครศรีธรรมราชทรงได้บูรณปฏิสังขรณ์พระธาตุเจดีย์ขึ้นมาใหม่ครอบลงบนองค์เดิมตามศิลปะลังกาที่มีคติความเชื่อเรื่องไตรภูมิ
 
            คติความเชื่อเรื่องไตรภูมิหรือไตรโลกที่มีมาลัยเถาหรือมาลัยลูกแก้วสามชั้นที่บริเวณปากระฆังรองรับองค์ระฆัง   มาลัยชั้นที่หนึ่ง หมายถึงกามภูมิ  มาลัยชั้นที่สอง หมายถึงรูปภูมิ และชั้นที่สาม หมายถึงอรูปภูมิ   ภายในวิหารมหาภิเนษกรมณ์หรือวิหารพระม้า  ซึ่งเป็นบันไดทางขึ้นสู่ลานประทักษิณขององค์พระบรมธาตุเจดีย์  สร้างขึ้นเป็นป่าหิมพานให้เป็นสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชอันเป็นสวรรค์ชั้นที่ ๑  ในจำนวนสวรรค์ทั้ง   ชั้น  ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาพระสุเมรุ  ซึ่งเป็นแดนที่อยู่ของท้าวมหาราชทั้ง ๔  ผู้ซึ่งรักษาคุ้มครองโลก ได้แก่ ท้าวธตรฐ  รักษาคุ้มครองโลกด้านตะวันออก  ทำหน้าที่ปกครองคนธรรพ์  ท้าววิรุฬหก รักษาคุ้มครองโลกด้านทิศใต้  ทำหน้าที่ปกครองกุมภัณฑ์  ท้าววิรูปัก  รักษาคุ้มครองโลกด้านตะวันตก  ทำหน้าที่ปกครองพญานาค  และท้าวกุเวรหรือท้าวเวสสุวรรณ รักษาคุ้มครองโลกด้านเหนือ  ทำหน้าที่ปกครองยักษ์  ส่วนล้านประทักษิณและองค์พระบรมธาตุเจดีย์เป็นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  มีองค์พระบรมธาตุเจดีย์เป็นยอดเขาพระสุเมรุ  บนยอดเขาพระสุเมรุคือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีเทพนครชื่อว่านครไตรตรึงษ์  มีพระอินทร์เทวราชเป็นผู้ปกครองทำหน้าที่อภิบาลและพิทักษ์คุณธรรมให้แก่มนุษย์  สวรรค์ชั้นนี้จึงเป็นที่ประทับของเทพทั้ง ๓๓  องค์  ปล้องไฉนที่อยู่เหนือเสาหานและพระเวียนมีจำนวน ๓๓  ปล้อง  อันเป็นคติความเชื่อที่เกี่ยวกับที่ประทับของเทพ ๓๓  องค์  ปทุมโกศมีลักษณะเป็นรูปบัวคว่ำบัวหาย  โดยหุ้มด้วยทองคำตั้งแต่ส่วนนี้ไปจนถึงปลายสุดที่เรียกว่า ปลียอดทองคำ  ส่วนนี้อาจหมายถึงเจดีย์จุฬามณีที่ประดิษฐานพระเกศธาตุและพระเขี้ยวแก้ว  ซึ่งพระอินทร์สร้างไว้บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
            ในช่วงระยะเวลาที่พระพุทธศาสนาลังกาวงศ์รุ่งโรจน์ขึ้นในอาณาจักรนครศรีธรรมราชนั้น  ได้มีการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่บริเวณหาดทรายแก้วอันเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ของความศักดิ์สิทธิ์และศูนย์กลางของอาณาจักรนครศรีธรรมราช   ศูนย์กลางแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรนี้ได้กลับกลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรที่แพร่กระจายไปปรากฏขึ้นในสถานที่ต่างๆ  ภายในอาณาจักรที่มีสภาพที่มีภูมิประเทศศักดิ์สิทธิ์รองลงมาจากหาดทรายแก้ว  ในปัจจุบันนี้ยังคงปรากฏสถูปดังกล่าวอยู่หลายแห่ง  สถูปที่สำคัญแห่งแรก ได้แก่  พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช  เป็นสถูปทรงลังกาขนาดสูงประมาณ ๗๗  เมตร  เส้นผ่าศูนย์กลางที่ฐาน ๒๒.๙๘ เมตร  ยอดหุ้มด้วยทองคำสูง ๘.๒๙๔  เมตร  สร้างด้วยรูปแบบสถูปทรงลังกา  จากรูปแบบทางศิลปะที่ปรากฏในปัจจุบันมีอายุอยู่ในประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ ตำนานที่กล่าวมาได้กล่าวว่าได้มีการสร้างสถูปองค์นี้เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์เหมือนอย่างเจดีย์ในอินเดีย  ศรีลังกาและดินแดนอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   แม้ว่าสถูปองค์นี้จะได้รับการบูรณะมาแล้วหลายครั้ง   แต่ยังคงแสดงให้เห็นว่าในขั้นต้นคงจะได้รับอิทธิพลจากต้นแบบที่เป็นสถูปในศิลปะแบบโปโลนนารุวะของศรีลังกา  โดยเฉพาะสถูปกิริเวเหระ (Kirivehera) ในโปโลนนารุวะ  เมืองหลวงเก่าของศรีลังกา 
            พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชเป็นสถูปที่ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส  โดยรอบฐานมีการแบ่งเป็นช่องๆ แต่ละช่องมีช้างโผล่ส่วนหัวออกมา  โดยระหว่างซุ้มหัวช้างเหล่านี้มีซุ้มเรือนแก้วที่ภายในเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นประดิษฐานอยู่   ส่วนฐานนี้ได้รับการสร้างหลังคาคลุมไว้โดยรอบเรียกว่า “ทับเกษตร”  ถัดขึ้นไปทางด้านบนเป็นส่วนของลานประทักษิณที่ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วมีบันไดทางขึ้นสู่ลานประทักษิณแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ คือ ตั้งอยู่ภายในวิหารพระทรงม้าที่มุมทั้งสี่ของลานประทักษิณมีสถูปจำลองทรงลังกาสร้างไว้มุมละองค์   ตรงกลางลานประทักษิณเป็นส่วนของปากระฆังของสถูปองค์นี้  โดยปากระฆังติดกับพื้นลานประทักษิณ   ถัดขึ้นไปเป็นส่วนองค์ระฆังทรงกลมที่มีปากระฆังผายออกเล็กน้อยเหนือองค์ระฆังเป็นบัลลังก์รูปสี่เหลี่ยมทรงสูง   ด้านข้างบัลลังก์แต่ละข้างมีเสาประดับอยู่สลับกันกับช่องว่าเป็นช่องๆ ด้านบนของบัลลังก์ผายออก   ตรงกลางบัลลังก์เป็นเสาหานประดับอยู่เป็นรูปวงกลม จำนวน 8 ต้น  เสาแต่ละต้นประดิษฐานพระอรหันต์ปูนปั้นต้นละองค์   ถัดขึ้นไปทางด้านบนเป็นส่วนยอดของสถูปที่ทำเป็นรูปวงกลมเป็นปล้องๆ  เรียกว่า “ปล้องไฉน” จนกระทั่งถึงประทุมโกศทำเป็นรูปบัวคว่ำบัวหาย  โดยหุ้มด้วยทองคำตั้งแต่ส่วนนี้ไปจนถึงปลายยอดสุดที่เรียกว่าปลียอดทองคำ  แห่งที่สอง สถูปวัดเจดีย์งาม  เป็นสถูปที่ประดิษฐานอยู่ในบริเวณวัดเจดีย์งาม  ตำบลบ่อตรุ  อำเภอระโนด  จังหวัดสงขลา เป็นรูปทรงลังกาที่ตั้งอยู่บนฐานสูงคล้ายมณฑป   แม้ว่าจะได้รับอิทธิพลจากสถูปในศิลปะศรีวิชัยอยู่บ้าง  แต่ก็ได้มีการบูรณะมาแล้วหลายครั้งจนเค้าเดิมปรากฏอยู่น้อยและได้รับอิทธิพลจากพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชเป็นส่วนใหญ่  แห่งที่สาม  สถูปวัดสวี เป็นสถูปที่ประดิษฐานอยู่ภายในวัดสวี ตำบลสวี  อำเภอสวี  จังหวัดชุมพร  เป็นสถูปที่สร้างขึ้นโดยอาศัยรูปแบบของพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช แห่งที่สี่ เจดีย์ยักษ์  เป็นสถูปที่ประดิษฐานอยู่ภายในวัดเจดีย์ยักษ์ (ร้าง) ภายในเขตเทศบาลนครนครศรีธรรมราช  ถนนราชดำเนิน  ตำบล ท่าวัง  อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช  เป็นสถูปทรงลังกาที่มีขนาดใหญ่  มีฐานสูงรูปสี่เหลี่ยม  ถัดขึ้นไปเป็นปากระฆังที่มีการสร้างเป็นลวดบัวทรงกลมซ้อนกันหลายชั้น  ถัดขึ้นไปเป็นองค์ระฆังทรงสูง เหนือขึ้นไปเป็นบัลลังก์รูปสี่เหลี่ยม  เสาหาน ปล้องไฉนและส่วนยอดที่เรียวแหลม โดยส่วนยอดสุดหักไป แห่งที่ห้า สถูปวัดเขียนบางแก้ว  เป็นสถูปที่ประดิษฐานอยู่ภายในวัดเขียนบางแก้ว ตำบลจองถนน  อำเภอเขาชัยสน  จังหวัดพัทลุง  เป็นสถูปที่ได้รับอิทธิพลมาจากพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช  ฐานเป็นรูปแปดเหลี่ยม ฐานสูง บริเวณฐานมีซุ้มพระพุทธรูป ระหว่างซุ้มมีช้างโผล่หัวออกมา เหนือส่วนฐานขึ้นไปเป็นรูปคล้ายคลึงกันกับพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชและเป็นสถูปที่ได้รับการบูรณะมาแล้วหลายครั้ง แห่งที่หก  สถูปวัดจะทิ้งพระ  เป็นสถูปที่ประดิษฐานอยู่ภายในวัดจะทิ้งพระ ตำบลจะทิ้งพระ อำเภอสทิ้งพระ จังหวัดสงขลา  เป็นสถูปที่มีรูปแบบคล้ายคลึงกันกับพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช  แต่มีการบูรณะหลายครั้งจนรูปแบบเปลี่ยนแปลงลงไปมากในระยะหลัง  ทางด้านใต้ของสถูปองค์ใหญ่มีสถูปทรงกลมเล็กๆ เรียงรายอยู่หลายองค์ และแห่งที่เจ็ด สถูปวัดพะโคะ  เป็นสถูปที่ตั้งอยู่บนเนินเขาภายในวัดพะโคะ ตำบลชุมพล อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา เป็นสถูปทรงลังกา  ตั้งอยู่บนฐานรูปสี่เหลี่ยม มีช้างล้อม ส่วนฐานมีลานประทักษิณเรียงกันขึ้นไปเป็นชั้นๆ จำนวน   ชั้น  และมีสถูปจำลองอยู่ที่มุมทั้งสี่ของลานประทักษิณ  แผนผังโดยรวมมีความคล้ายคลึงกันกับพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช 
 
            พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชเป็นปูชนียสถานที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และพระพุทธศาสนา   ตำนานประวัติศาสตร์ได้กล่าวว่าพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชองค์ก่อนทรงสร้างพระเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าบนหาดทรายแก้ว  ตามแบบศิลปะศรีวิชัยต่อมาพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชจันทรภาณุทรงสร้างเจดีย์แบบศิลปะลังกาครอบองค์เดิม  คติความเชื่อในการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์องค์นี้ผู้ทรงสร้างตามคติความเชื่อเรื่องไตรภูมิที่มีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางของจักรวาลหรือหลักของโลกและทรงสร้างตามแบบศิลปะลังกาที่มีฐานสี่เหลี่ยมทรงสูง  มีช้างล้อม  เป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำหรือโอคว่ำ มีบัลลังก์  เสาหาน  ปล้องไฉน และปลียอดทองคำ  ซึ่งมีความสูง ๓๗ วา ๗ ศอกหรือสูงประมาณ ๗๗ เมตร  ยอดหุ้มด้วยทองคำหนัก ๘๐๐ ชั่ง หรือประมาณ ๒๑๖ กิโลกรัม  ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร  อำเภอเมือง  จังหวัดนครศรีธรรมราช  ซึ่งเป็นต้นแบบพระเจดีย์องค์อื่นๆ ในภาคใต้และใกล้เคียง  เช่น พระธาตุวัดเขียนบางแก้ว  เจดีย์วัดสวี  เป็นต้น

บรรณานุกรม
ชวน  เพชรแก้วและปรีชา นุ่นสุข, (๒๕๒๐), “ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช”, ในกำแพงเมืองเมืองมรดก    
            ทางวัฒนธรรมของชาวนคร,  สงขลา : วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช.
ปรีชา นุ่นสุข,  (๒๕๓๐), พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์กรุงสยามการพิมพ์.
พระครูปลัดวิริยวัฒน์, (๒๕๐๙), “วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร นครศรีธรรมราช”, ในที่ระลึกในการถวาย
            ผ้ากฐินพระราชทาน ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช, กรุงเทพมหานคร :   
            กรมชลประทานกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ.
ยงยุทธ  วรรณโกวิท,  (๒๕๔๑), ทองคำที่ใช้ในการบูรณปฏิสังขรณ์ปลียอดทองคำพระบรมธาตุเจดีย์
            นครศรีธรรมราช  วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ระหว่าง
            พ.ศ. ๒๕๓๗ -๒๕๓๘,  กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร.
สุภัทรดิศ  ดิศกุล และสันติ เล็กสุขุม,  (๒๕๔๓),  เที่ยวดงเจดีย์ที่พม่าประเทศทางประวัติศาสตร์ศิลปะและ 
            วัฒนธรรม,  กรุงเทพมหานคร : มติชน.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น