บทความวิชาการที่ ๑๕ โดย... พระครูวรวิริยคุณ (ปราโมทย์ กลิ่นละมัย)
พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชเป็นพระเจดีย์องค์ใหญ่ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งสูงจากพื้นดินถึงยอดประมาณ ๓๗ วา ยอดหุ้มด้วยทองคำหนัก ๑๔๑,๙๘๗.๙๘ กรัม หรือ
๙,๓๔๑.๓๑ บาท บริเวณที่หุ้มทองคำนี้มีทองคำรูปพรรณนาชนิด
เช่น แหวน พระพุทธรูป เป็นต้น ผูกแขวนไว้ด้วยเส้นลวดทองคำจำนวนมากมาย จัดเป็นพระเจดีย์ ปูชนียวัตถุที่สำคัญและสูงใหญ่เป็นอันดับที่สองของประเทศไทย ซึ่งสูงเป็นรองจากพระปฐมเจดีย์
จังหวัดนครปฐม
พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช
ตำนานประวัติศาสตร์เมืองนครศรีธรรมราชได้กล่าวว่า พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช
ทรงตั้งเมืองนครศรีธรรมราชบนหาดทรายแก้วเมื่อประมาณปี พ.ศ.๑๓๐๐
ในสมัยที่อาณาจักรศรีวิชัยกำลังมีอำนาจรุ่งเรืองอยู่บริเวณแหลมมลายู
หลักฐานทางโบราณคดีได้ยืนยันว่าในช่วงระยะเวลาดังกล่าว
เมืองนครศรีธรรมราชอยู่ในอาณาจักรศรีวิชัย รูปทรงของพระบรมธาตุเจดีย์ที่ได้สร้างขึ้นในครั้งแรกน่าจะเป็นรูปแบบของศิลปะศรีวิชัยเช่นเดียวกับพระบรมธาตุไชยา
จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งต่อมาในประมาณปี
พ.ศ.๑๗๐๐ พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช จันทรภาณุศรีธรรมราช กษัตริย์ผู้ครองเมืองนครศรีธรรมราช
ซึ่งในช่วงระยะเวลานั้นพระพุทธศาสนากำลังเจริญรุ่งเรืองเต็มที่ในลังกา พระภิกษุจากประเทศต่างๆ
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น นครศรีธรรมราช พม่า เขมร เป็นต้น
ได้พากันไปศึกษาพระพุทธศาสนาในลังกาเป็นจำนวนมากและได้นำเอาพระพุทธศาสนาตามแบบลังกามาเผยแผ่ในบ้านเมืองหรือชุมชนท้องถิ่นของตน
ส่วนพระภิกษุชาวนครศรีธรรมราชได้ชักชวนพระภิกษุชาวลังกามาตั้งคณะสงฆ์ลังกาขึ้นที่เมืองนครศรีธรรมราช
และได้ช่วยกันบูรณะซ่อมแซมพระบรมธาตุเจดีย์องค์เก่าชำรุดทรุดโทรม ในการบูรณปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุเจดีย์ขึ้นใหม่ให้เป็นรูปแบบทางศิลปะลังกา โดยได้รับการอุปถัมภ์ของพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช จันทรภาณุศรีธรรมราช
พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชองค์นี้ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารหรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า
“ในพระ” ตั้งอยู่ตำบลในเมือง อำเภอเมือง
จังหวัดนครศรีธรรมราช
วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
ซึ่งมีชื่อเดิมเรียกว่า วัดพระบรมธาตุ
เป็นวัดไม่มีพระสงฆ์อยู่จำพรรษาดูแลวัด
เพราะว่าในอดีตวัดนี้เป็นวัดประจำเมืองนครศรีธรรมราชหรือเป็นวัดประจำราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช
เช่นเดียวกันกับวัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือวัดพระแก้วก็เป็นวัดประจำกรุงรัตนโกสินทร์หรือประจำราชวงศ์จักรี
ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เสด็จประพาสเมืองนครศรีธรรมราชในปี พ.ศ.๒๔๘๕
ทรงมีพระราชดำริว่าวัดพระบรมธาตุ (ชื่อเดิม)
ควรที่จะมีพระสงฆ์มาอยู่จำพรรษาดูแลวัดเป็นประจำ
จึงมีพระราชดำรัสสั่งให้จังหวัดนครศรีธรรมราชนิมนต์พระสงฆ์มาอยู่ประจำและพระราชทานนามวัดเสียใหม่ว่า
วัดพระมหาธาตุ หรือวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช
จันทรภาณุศรีธรรมราชทรงได้สร้างพระบรมธาตุเจดีย์ สร้างเมืองนครศรีธรรมราช และสร้างเมืองขึ้นทั้งสิบสองเมืองหรือเมืองสิบสองนักษัตรขึ้นเป็นเมืองบริวารรายรอบศูนย์กลางของอาณาจักรนครศรีธรรมราชหรือหาดทรายแก้วอันศักดิ์สิทธ์
โดยมีพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชเป็นศูนย์กลางแห่งความศักดิ์สิทธ์ของอาณาจักรนี้
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช จันทรภาณุศรีธรรมราช
ทรงได้เปิดโอกาสให้เมืองสิบสองนักษัตรของพระองค์ได้มีบทบาทอันสำคัญในการเป็นผู้รับผิดชอบหรือทำหน้าที่สร้างสรรค์และทำนุบำรุงพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช ซึ่งได้อาศัยกำลังคนและกำลังทรัพย์เป็นอันมากจากเมืองสิบสองนักษัตรมาบูรณะเสริมสร้างพระบรมธาตุเจดีย์
แต่การสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ในครั้นนั้นยังไม่มีส่วนประกอบที่สมบูรณ์ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งได้มีการสร้างเสริมและบูรณะต่อๆ
กันมาอีกหลายครั้งจนกว่าจะมีบริวารวัตถุครบครั้น
อย่างไรก็ตามในสมัยพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช จันทรภาณุศรีธรมราช บริเวณรอบๆ ขององค์พระบรมธาตุเจดีย์ได้ถูกกำหนดขึ้นเป็นเขตพุทธวาสและจัดระเบียบคณะสงฆ์โดยยืดเอานัยกาภาพยนต์รักษาพระบรมสารีริกธาตุ การจัดระเบียบคณะสงฆ์ผู้ดูแลรักษาพระบรมธาตุเจดีย์อาจจะมาจากสาเหตุว่าพระบรมธาตุเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเป็นพระเจดีย์ที่สำคัญคู่บ้านคู่เมืองนครศรีธรรมราช
ซึ่งมีคนเคารพนับถือมากที่สุดในอาณาจักรนครศรีธรรมราช
พระสงฆ์ทุกหมู่เหล่าต่างก็แย่งชิงกันเพื่อจะขอมาดูแลรักษาพระบรมธาตุเจดีย์และอาศัยอยู่ในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารที่มีลาภ
ยศ สรรเสริญ และผลประโยชน์อย่างมาก
จนเกิดการทะเลาะวิวาทกันใหญ่โตจนชาวบ้านเบื่อหน่ายและในที่สุดพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช จันทรภาณุศรีธรรมราชทรงยุติปัญหาการทะเลาะวิวาทของคณะสงฆ์
ด้วยการยกเลิกมิให้พระสงฆ์เหล่าใดเข้ามาอ้างสิทธิเป็นเจ้าของดูแล แต่เนื่องจากในสมัยโบราณนั้นเมืองนครศรีธรรมราชมีคณะสงฆ์หมู่ใหญ่อยู่ ๔ เหล่าหรือมีพระสงฆ์ลังกาวงศ์อยู่ ๔ คณะ
เพื่อความยุติธรรมจึงกำหนดให้คณะสงฆ์เหล่านั้นได้ช่วยกันดูแลรักษาพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชกันคณะละด้านหรือทิศละคณะ
คือ คณะลังกาแก้ว
ดูแลรักษาพระบรมธาตุเจดีย์ด้านทิศตะวันออก
คณะลังการาม ดูแลรักษาพระบรมธาตุเจดีย์ด้านทิศใต้ คณะลังกาชาด
ดูแลรักษาพระบรมธาตุเจดีย์ด้านทิศตะวันตกและคณะลังกาเดิม ดูแลรักษาพระบรมธาตุเจดีย์ด้านทิศเหนือ เมื่อแบ่งและกำหนดหน้าที่ให้คณะสงฆ์ทั้ง ๔ คณะรับผิดชอบ
จึงทำให้คณะสงฆ์และบ้านเมืองสงบ
เพื่อประโยชน์ในทางปฏิบัติจึงอนุญาตให้คณะสงฆ์นิกายต่างๆ
สามารถตั้งสำนักหรือวัดของตนขึ้นอยู่บริเวณภายนอกวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารที่มีพระบรมธาตุเจดีย์เป็นศูนย์กลาง ดังนั้น
จึงได้พบว่ามีวัดเกิดขึ้นมากมายซึ่งตั้งอยู่โดยรอบวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันประมาณ ๘๐ กว่าวัด บางวัดก็ยังปรากฏอยู่ บางวัดก็ได้ร้างไป ส่วนวัดที่ร้างก็ได้เป็นสถานที่ราชการไปก็มี
เทพอารักษ์ผู้เฝ้าดูแลรักษาพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชทั้ง
๔ ทิศ
ซึ่งผู้แต่งตำนานพระพุทธสิหิงค์
ชินกาลมาลีปกรณ์และเอกสารอื่นๆ
นำเอาไปใช้ปรุงนิทานของตนให้มีรสชาติสนุกน่าเสื่อมใสศรัทธา โดยการแปลและเปลี่ยนแปลงภาษาบาลีเสียใหม่อย่างชาญฉลาด
เพื่อแสดงภูมิรู้และความขลังศักดิ์สิทธ์แห่งตำนาน จากชื่อคณะสงฆ์กลายมาเป็นชื่อเทพเทวดาเฝ้ารักษาพระบรมธาตุเจดีย์ ดังนี้
๑. สุมนเทพ คือ คณะลังกาแก้ว มหาสุมนหรือพระวันรัตน์ คำว่า รัตน์ คือ
แก้วหรือขาว ดังภาษาพูดว่า “กาขาว”
เป็นสำนักปัจฉิมภิกษุสงฆ์ที่ไปบวชแปลงมาจากพระวันรัตนมหาเถระประเทศศรีลังกาหรือสิงหล ฝ่ายพระวันรัตนวงศ์ คณะป่าแก้วหรืออรัญวาสี จึงมาเป็นลังกาป่าแก้ว
แต่ตำนานฝ่ายเหนือเอาไปแปลงเป็น “สุมนเทพ” คือ พระมหาสุมณเถระ ชาวสุโขทัย
สถิตวัดป่ามะม่วง
ผู้ซึ่งเดินทางไปบวชแปลงและศึกษาเล่าเรียนพระธรรมปิฎกไตร
มาจากสำนักอุทุมพรบุปผามหาสวามีที่เมืองพันแล้วนำพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ไปเผยแผ่ประดิษฐานที่เมืองลำพูน เชียงใหม่เป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.๑๙๑๒
จึงต้องการยกย่องพระมหาสุมนะเจ้าในฐานะสุวรรณรัตนมหาสวามี เจ้าสำนักสงฆ์ฝ่ายเหนือ
ซึ่งเป็นคณะสงฆ์ที่เข้ามาหลังสุดและได้รับการยกย่องกันว่ามีพระธรรมวินัยที่ดีที่สุด
ตำแหน่งพระครูกาแก้ว จึงได้รับการแต่งตั้งให้มีสมณศักดิ์สูงเท่าคณะอื่น
๒. รามเทพ คือ คณะลังการาม
ภาษาพูดเรียกว่า “กาเหลือง” คำว่า ราม มิได้แปลว่า พระรามหรือพระนารายณ์ ตามที่นักวิชาการสันนิษฐานกัน แต่มาจากคำว่า รามัญ-รามญฺญ
หรือพระสงฆ์ฝ่ายรามัญสมณวงศ์ คือ พวกพระสงฆ์มอญผู้สร้างพระบรมธาตุเจดีย์ขึ้นเป็นรามัญสถาน
มีคนมอญได้เป็นเจ้าเมืองก็มีและเป็นผู้นำพระพุทธศาสนามาเผยแผ่ก่อนใครบนแหลมมลายูอันยาวนาน
ซึ่งเป็นเรื่องทางพระพุทธศาสนาและไม่เกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์
๓. ลักขณเทพ คือ คณะลังกาชาติ
ภาษาพูดว่า กาแดง คำว่าลักขณหรือลักษณะ คือเชื้อชาติ (Race)
ประเภทเครื่องแสดงอันเป็นเครื่องหมาย เพราะมีพระสงฆ์ชาวลังกาหลายรูปที่มีชื่อเสียง
ได้เข้ามาตั้งสำนักเผยแผ่พระศาสนาขึ้นที่เมืองนครศรีธรรมราช
อันเนื่องด้วยเป็นเมืองที่มีข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ไม่ลำบากยากแค้นเหมือนเมืองลังกา
อีกทั้งเจ้าเมืองเป็นผู้อุปถัมภ์เป็นพิเศษ
จึงมีลูกศิษย์ลูกหามากและเป็นที่มาของชื่อหมู่คณะ
๔.
กามเทพ คือ คณะลังกาเดิม
ในชินกาลมาลีปกรณ์แปลงเป็นขัตตคามและที่ป้ายใต้รูปเทพทางซ้ายมือบันไดขึ้นลานประทักษิณองค์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชเป็นขัตตุคาม
คณะลังกาเดิมภาษาพูดเรียกว่า “กาดำ”
เป็นสำนักปุริมภิกษุสงฆ์หรือเป็นคณะที่เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาก่อนคณะใดๆ
เป็นพวกนิกายเชื้อสายดังเดิม
เริ่มตั้งแต่สมัยสุวรรณภูมิที่พระโสณเถระและพระอุตตรเถระนำเข้ามา
ตลอดทั้งคณะที่เคยไปบวชแปลงมาตั้งแต่ลังกาสมัยก่อนแล้วหลายรุ่น คณะสงฆ์กลุ่มนี้เป็นพวกกลุ่มใหญ่มีบทบาทที่สำคัญต่อกษัตริย์และบ้านเมืองมาก่อน เป็นสายเก่าแก่ดังเดิมของเจ้าถิ่น มีหลายสำนักอาจารย์กระจายอยู่ทั่วไป
พระธรรมวินัยหย่อนยานล้าหลัง บางครั้งวัตรปฏิบัติก็คล้ายไปทางมหายาน
ใช้ไสยศาสตร์มีฤทธิ์มากมีคนขึ้นมาก
พระสงฆ์ฝ่ายมหายานที่เหลืออยู่อาจจะแฝงตัวเข้ามาอยู่ในคณะนี้ด้วยก็ได้
ผู้แต่งนิทานพระพุทธสิหิงค์และชินกาลมาลีปกรณ์แห่งล้านนา
ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจประวัติศาสตร์เรื่องราวของเมืองนครศรีธรรมราชเป็นอย่างดี
จึงแปลงถ้อยคำในการถ่ายทอดลงเป็นภาษาบาลีอย่างถูกต้องตรงไปตรงมา มีเหตุผลแม้จะขยายความยักเยื้องออกไปบ้าง
หากเราไม่เข้าใจประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและตีตำนานจึงหลงทางและไม่เข้าใจเรื่องราวดังกล่าว
คำว่า กา
เป็นคำพื้นเมืองปักษ์ใต้ที่ย่อมาจากคำว่า ลังกา
เพราะคนพื้นเมืองนิยมพูดตัดคำให้สั้นอันหมายถึงพระสงฆ์ลังกาวงศ์ทั้ง ๔ คณะ คือ
กาแก้ว การาม กาชาดและกาเดิม ซึ่งมีต้นแบบของลัทธิอยู่ที่ประเทศศรีลังกาที่นิยมเรียกว่า
ลัทธิลังกาวงศ์ ที่ผู้แต่งตำนานล้านนาแปลงให้มาเป็นเทพอารักษ์ประจำบ้านเมือง
ประจำองค์พระพุทธสิหิงค์หรือเฝ้ารักษาองค์พระบรมธาตุเจดีย์นั้น
ล้วนเป็นชื่อคณะสงฆ์ในลัทธิลังกาวงศ์ทั้งสิ้น
ซึ่งในศรีลังกาไม่มีเทพเหล่านี้
เพราะว่าเป็นชื่อนิกายคณะสงฆ์พิเศษที่เกิดมีขึ้นใหม่โดยเฉพาะสำหรับเมืองนครศรีธรรมราช
พัทลุง และไชยาเท่านั้น
ส่วนสาเหตุที่สร้างรูปแบบเฝ้าองค์พระบรมธาตุไว้เพียง
๒ องค์ คือ ขัตตุคามกับรามเทพ ไม่สร้างให้ครบ
๔ องค์ ความจริงมีว่าเนื้อที่ข้างบันไดขึ้นลานประทักษิณ สร้างรูปเคารพท้าวจตุโลกบาล รูปสิงห์ ราชสีห์
และหมี ซึ่งมักจะสร้างไว้เป็นคู่เดียวพอเป็นเชิงสัญลักษณ์ ดังนั้น
การคัดเอาชื่อขัตตุคามและรามเทพมาใช้ ซึ่งนอกจากเป็นชื่อที่คล้องจองกันดีแล้ว
ข้อเท็จจริงพระสงฆ์ ๒ คณะนี้ยังถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติยศพิเศษ
เพราะมีบทบาทโดยตรงต่อการสร้างองค์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช ตั้งแต่ครั้งแรกที่เริ่มปรากฏอยู่ในตำนาน
กล่าวคือคนรามัญหรือมอญเป็นผู้สร้างเมืองสร้างองค์พระธาตุเป็นปฐมและพระสงฆ์ลังกาเป็นผู้บุกเบิกก่อกำเนิดลัทธิลังกาวงศ์ ณ เมืองนครศรีธรรมราช จนมีชื่อเสียงไปทั่วสยามประเทศ
นอกจากกาทั้ง ๔ เหล่าและเทพทั้ง ๔ องค์ที่เฝ้าดูแลรักษาพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชแล้วยังมีเทวดาอีก ๔
องค์ที่เฝ้าดูแลรักษาพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช คือ
ท้าวจตุโลกบาลหรือเทวดาประจำทิศทั้ง ๔ ที่สร้างรูปเทวดาเฝ้าองค์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชไว้
๔ องค์
ภายในวิหารทรงม้าข้างบันไดซ้ายขวาขึ้นลานประทักษิณ
ซึ่งสร้างรูปเทวดาเฝ้าดูแลรักษาพระบรมเจดีย์นครศรีธรรมราชที่สำคัญไว้ ๔ องค์
ได้แก่ ท้าวรตรฐ ท้าววิรูปักษ์
ท้าววิรุฬหก และท้าวเวสสุวรรณ
ซึ่งท้าวรตรฐ
เป็นเทวดาผู้มีบุญญานุภาพมาก มีรัศมีมาก มีฤทธิ์มากและปกครองหมู่คนธรรณ์
มีหน้าที่เฝ้าดูแลรักษาพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชทางด้านทิศตะวันออก ท้าววิรูปักษ์เป็นเทวดาผู้มีบุญญานุภาพมาก มีรัศมีมาก มียศมากและปกครองหมู่นาค มีหน้าที่เฝ้าดูแลรักษาพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชทางด้านตะวันตก ท้าววิรุฬหก เป็นเทวดาที่มีบุญญานุภาพมาก
มีรัศมี มียศมากและปกครองหมู่กุมภัณฑ์
(พวกกายทิพย์ที่มีรูปร่างแปลกประหลาดพิกล)
มีหน้าที่เฝ้าดูแลรักษาพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชทางด้านทิศตะวันตก
และท้าวเวสสุวรรณหรือท้าวกุเวร
เป็นเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่
มีบุญญานุภาพมาก มีรัศมีมาก
มียศมากและปกครองหมู่ยักษ์ มีหน้าที่เฝ้าดูแลรักษาพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชทางด้านทิศเหนือ ดังมีเรื่องราวปรากฏอยู่ในอาฏานาฏิยสูตรว่า
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชกูฏ เขตพระนคร ราชคฤห์
ครั้งนั้นท้าวมหาราชทั้ง ๔ องค์ วางยามรักษาการณ์ไว้ทั้ง ๔ ทิศ วางกองกำลังไว้ทั้ง ๔ ทิศ ด้วยกองทัพยักษ์หมู่ใหญ่
ด้วยกองทัพคนธรรณ์หมู่ใหญ่
ด้วยกองทัพกุมภัณฑ์หมู่ใหญ่และด้วยกองทัพนาคหมู่ใหญ่
ในขณะเมื่อปฐมยามแห่งราตรีล่วงไปแล้ว มีวรรณะงดงาม เปล่งรัศมีให้สว่างไสวทั่วภูเขาคิชกูฏแล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถวายบังคมแล้วพากันประทับนั่งอยู่
ณ ที่ส่วนข้างหนึ่ง เนื่องจากท้าวจตุโลกบาลหรือเทวดาที่สำคัญประจำทิศทั้ง
๔ ที่เคยเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ในครั้งทรงพระชนม์ชีพอยู่
เทวดาเหล่านี้จะตามรักษาคุ้มครองพระพุทธศาสนา
รักษาคุ้มครองพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช
รักษามนุษย์โลกผู้มีศีลและประพฤติธรรมไว้ในทิศทั้ง ๔ และมีหน้าที่ป้องกันร้ายอันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่มนุษย์โลกทั้งหลายอีกด้วย
เอกสารอ้างอิง
ก่องแก้ว วีระประจักษ์,
“จารึกแผ่นทองหุ้มปลียอดทองคำพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช”, ศิลปากร,
ฉบับปีที่ ๓๗ กรกฎาคม-สิงหาคม ๒๕๓๗)
: ๔.
ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์, เมืองนครศรีธรรมราชมหานคร, กรุงเทพมหานคร :
ดวงกมลพับลิชซิ่ง, ๒๕๕๕.
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,
“อาฏานาฏิยสูตรว่าด้วยมนต์เครื่องรักษาชื่ออาฏานาฏิยะ”, ในพระไตรปิฎก
ภาษาไทย
ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่มที่ ๑๑, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลง
กรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น