พระครูวรวิริยคุณ (ปราโมทย์ ปสุโต)
บทนำ
พระพุทธศาสนามีความเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน
พระมหากษัตริย์หลายพระองค์ที่ได้เดินตามรอยบาทพระศาสดา
ทรงนำพระธรรมคำสอนมาประพฤติปฏิบัติ บริหารบ้านเมือง เผยแผ่
และทรงอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา
พระเจ้าอโศกมหาราชก็เป็นกษัตริย์อีกพระองค์หนึ่งที่ได้เดินตามรอยพระพุทธเจ้า
ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภกที่สำคัญในพระพุทธศาสนา เป็นกษัตริย์นักเผยแผ่
เป็นกษัตริย์นักปกครองโดยธรรม จึงทำให้บ้านเมืองอยู่สงบร่มเย็นตลอดมา
พระองค์ทรงมีพระราชจริยวัตรที่ดีงามและเป็นแบบอย่างอันดีให้กับกษัตริย์ในสมัยต่อๆ
มา
กำเนิดพระเจ้าอโศกมหาราช
พระเจ้าอโศกมหาราชทรงถือกำเนิดในตระกูลอโศก
กษัตริย์ในราชวงศ์เมารยะ (อโศก แปลว่า จิตไม่โศก หมายถึง จิตที่บรรลุนิพพาน
อันเป็นจิตของพระอรหันต์) พระเจ้าอโศกมหาราชมีชื่อเรียกอีกพระนามหนึ่งว่า
พระเจ้าปิยทัสสี
พระองค์เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพินธุสารกับพระนางศิริธรรมาครองราชย์สมบัติ ณ
นครปาฏลิบุตร มีพระราชโอรส ๓ พระองค์ คือ สุมนะ อโศกราชกุมาร และติสสะ
เมื่อพระนางศิริธรรมาทรงพระครรภ์พระนางนึกปรารถนาจักเหยียบดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
ปรารถนาจะเสวยดวงดาวและรากดินภายใต้ปฐพี
ชรสารนาดาบสพยากรณ์ว่าในอนาคตพระโอรสจะได้เป็นบรมกษัตริย์ที่ประเสริฐในชมพูทวีปและมีกษัตริย์ในนครน้อยใหญ่มาเป็นข้าทูลละอองในพระบาท
พระโอรสจะได้ฆ่าเสียซึ่งราชวงศ์วโรรสอันต่างมารดากันมี ๙๙ องค์ในนครนั้น
พระโอรสจะได้ทำลายลัทธิแห่งเดียรถีย์ ๙๖ จำพวก
และจะได้บำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป
และพระราชโอรสจักมีพระราชอาณาจักรแผ่ไปภายใต้แผ่นดินและอากาศเบื้องบนได้โยชน์หนึ่ง
พระเจ้าอโศกมหาราชขณะที่ทรงพระเยาว์เป็นกษัตริย์ที่ดุร้าย
มีผู้คนขนานพระนามว่า จัณฑาโศก (แปลว่า พระเจ้าอโศกผู้ดุร้าย)
พระองค์ทรงออกศึกตั้งแต่มีพระชนมายุได้ ๑๘ พรรษา
ศึกครั้งนั้นเจ้าชายอโศกนำกองทัพไปตีนครตักกสิลาซึ่งเป็นกบฏแข็งเมืองได้สำเร็จ
พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงวิทิสา มีพระราชโอรสและพระราชธิดา ๒ พระองค์ คือ
เจ้าชายมหินทและเจ้าหญิงสังฆมิตตา
เมื่อพระเจ้าพินทุสารสวรรคตเจ้าชายอโศกได้ขึ้นครองราชย์สมบัติสืบต่อมา
พระเจ้าอโศกมหาราชกับการทำสงคราม
พระเจ้าอโศกมหาราชทรงทำสงครามตั้งแต่วัยเยาว์ศึกใหญ่ที่พระองค์ทรงกระทำและทรงมีชัยชนะโดยเด็ดขาด
คือ การทำศึกกับนักรบชาวกลิงคะ แคว้นกลิงคะตั้งอยู่ทางตอนใต้ของชมพูทวีป (อินเดีย)
พระเจ้าอโศกมหาราชทำข้าศึกอยู่นานถึง ๗ - ๘ ปี
ในการทำศึกครั้งนั้นทหารชาวกลิงคะถูกจับเป็นเชลยถึง ๑๕๐,๐๐๐ คน และที่เสียชีวิตจำนวนมากเท่าๆ กัน พระองค์ทรงได้พบเห็นประชาชน
ทหารบาดเจ็บล้มตายทุพพลภาพ และประชาชนต้องพลัดพรากที่อยู่ ลูกขาดพ่อ ภรรยาขาดสามี
บ้านเรือนทรัพย์สินก็พังพินาศย่อยยับ เพราะพิษภัยสงคราม
จึงทำให้พระองค์เกิดธรรมสังเวชหันมานับถือพระพุทธศาสนา และนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาบริหารบ้านเมืองแทนการทำสงคราม
เรียกว่า ปกครองแผ่นดินโดยธรรม
พระเจ้าอโศกมหาราชกับการนับถือพระพุทธศาสนา
พระเจ้าอโศกมหาราชทรงหันมานับถือพระพุทธศาสนา
ซึ่งมีหลักฐานที่สำคัญ ๓ ประการ คือ
๑. การทำสงครามกับแคว้นกลิงคะ
พระเจ้าอโศกมหาราชทรงได้ทอดพระเนตรเห็นผู้คนล้มตาย บาดเจ็บ
และถูกจับเป็นเชลยจำนวนมาก พระองค์จึงทรงสลดพระทัยแล้วหันมานับถือพระพุทธศาสนา
ทรงเปลี่ยนนโยบายใหม่จากการชนะกันด้วยสงครามมาสู่การชนะด้วยธรรม คือธรรมวิชัย
๒.
พระเจ้าอโศกมหาราชเคยเลื่อมใสนับถือพวกพราหมณ์ตาปะขาวและปริพาชกในลัทธิปาสัณฑะมาก่อนถึง
๓ ปี ในปีที่ ๔ พระองค์ทรงหันมานับถือพระพุทธศาสนา เพราะทรงเลื่อมใสในสามเณรนิโครธ
ผู้มีกิริยามารยาทที่เรียบร้อยและสำรวมอินทรีย์
ซึ่งต่างจากพวกพราหมณ์ตาปะขาวและปริพาชกในลัทธิปาสัณฑะที่ไม่สำรวมอินทรีย์
และไม่มีกิริยามารยาทที่เรียบร้อย
๓. คัมภีร์ทิวยาวทานะ นิกายมหายานกล่าวว่า
พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเลื่อมใสนับถือพระอรหันต์รูปหนึ่งชื่อว่า พระพาลปุณฑิตะ
พระอรหันต์รูปนี้ถูกเจ้าหน้าที่จับร่างโยนลงในบ่อกองไฟที่ลุกโชติช่วง
แต่เกิดอัศจรรย์ร่างของพระอรหันต์กลับมีดอกบัวขนาดใหญ่ผุดขึ้นมารองรับ
พระเจ้าอโศกมหาราชทรงทอดพระเนตรเห็นก็เกิดความเลื่อมใสหันมานับถือพระพุทธศาสนาและเปลี่ยนพฤติกรรมของพระองค์
จากกษัตริย์ที่ดุร้ายกลับเป็นกษัตริย์ที่มีแต่ความเมตตากรุณา
พระเจ้าอโศกมหาราชเมื่อพระองค์ทรงหันมานับถือพระพุทธศาสนาแล้ว
พระองค์ทรงบำเพ็ญประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนามากมาย เช่น สร้างสถูปเจดีย์จำนวน ๘๔,๐๐๐ องค์ ประดิษฐานไว้ ณ สถานที่ต่างๆพร้อมกับการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
พระองค์ทรงมีธรรมสัญจร เสด็จถวายนมัสการสังเวชนียสถานทั้ง ๔ องค์
และทรงพระราชทานทองคำแก่ประชาชนในคราวเสด็จนมัสการสังเวชนียสถานเหล่านั้นอีกด้วย
พระเจ้าอโศกมหาราชกับการกำจัดเดียรถีย์ออกจากพระพุทธศาสนา
พระเจ้าอโศกมหาราชทรงนับถือลัทธิพาเหียรปาสัณฑะมาเป็นเวลา
๓ ปี ในปีที่ ๔ จึงทรงได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
ทรงรับสั่งให้นายช่างสร้างมหาวิหารชื่อว่าอโศการาม
ทรงตั้งภัตไว้เพื่อถวายภิกษุหกแสนกว่ารูป และทรงรับสั่งให้สร้างมหาวิหาร ๘๔,๐๐๐ หลัง ประดับด้วยพระเจดีย์ ๘๔,๐๐๐
องค์ไว้ในพระนคร ๘๔,๐๐๐ แห่งทั่วชมพูทวีป
เมื่อพวกเดียรถีย์ทั้งหลายเสื่อมจากลาภสักการะที่เคยได้รับจากพระเจ้าอโศกมหาราช
จึงปลอมบวชในพระพุทธศาสนาเพื่อลาภสักการะ เที่ยวประกาศลัทธิของตนว่า “นี้คือธรรมนี้คือวินัย” บางพวกประกาศว่า “พวกเราจักทำลายศาสนาของพระสมณโคตรมะให้สิ้นซาก” ปลอมนุ่งผ้ากาสายะ
เที่ยวไปในวิหาร เข้าร่วมอุโบสถสังฆกรรมต่างๆ
ภิกษุฝ่ายธรรมวาทีวินัยวาทีไม่ยอมร่วมทำอุโบสถสังฆกรรมกับเดียรถีย์ปลอมบวชนานถึง ๗
ปี พระภิกษุสงฆ์ได้ทูลให้พระเจ้าอโศกมหาราชทรงทราบ พระองค์ตรัสสั่งอำมาตย์คนหนึ่งให้ไปพระวิหาร
เพื่อระงับอธิกรณ์นิมนต์พระภิกษุสงฆ์ทำอุโบสถสังฆกรรม
แต่อำมาตย์ผู้รับสั่งไม่ทราบว่าจะปฏิบัติอย่างไรที่สามารถจะระงับอธิกรณ์ได้
จึงปรึกษาอำมาตย์ทั้งหลาย พวกอำมาตย์ได้เสนอแนะว่า อธิกรณ์นี้จะระงับไปด้วยดี
ควรจะปฏิบัติดุจราชบุรุษปราบปรามปัจจันตชนบท คือต้องมาปราบโจรข้อนี้ฉันใด
ภิกษุใดไม่ยอมทำอุโบสถสังฆกรรมพระราชาจักมีพระประสงค์ให้ฆ่าภิกษุนั้นๆ เสีย
เมื่อนิมนต์พระคุณเจ้าทั้งหลายทำอุโบสถสังฆกรรม
พระภิกษุทั้งหลายไม่ขอทำอุโบสถสังฆกรรมร่วมกับเดียรถีย์ปลอมบวช
อำมาตย์จึงใช้ดาบตัดศีรษะตั้งแต่พระเถระลงไปถึงพระติสสเถระ
อำมาตย์จำพระติสสะได้ว่าเป็นพระกนิษฐภาดา (พระน้องชายร่วมมารดา)
ของพระเจ้าอโศกมหาราช จึงไม่อาจใช้ดาบตัดศีรษะ
รีบออกจากพระวิหารไปทูลเหตุการณ์ที่ตนได้กระทำลงไปให้ทรงทราบ
เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทรงทราบก็ตกพระทัยและเร่าร้อนพระทัยที่เกิดจากการกระทำของอำมาตย์
พระองค์รีบเร่งเสด็จไปวิหาร
ตรัสถามพระเถระทั้งหลายอันมีพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระว่าการกระทำเช่นนี้บาปกรรมนี้จะพึงได้แก่ใคร
พระเถระถวายพระพรว่าถ้าพระองค์ไม่มีความคิดเช่นนั้น บาปกรรมจะไม่มีแก่พระองค์เลย
เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทรงหายจากความสงสัย
ทรงพำนักอยู่ในพระราชอุทยานศึกษาพระธรรมวินัยกับพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ๗ วัน
ต่อจากนั้นทรงประกาศให้พระภิกษุสงฆ์ทั้งหมดมาประชุม ณ วัดอโศการาม
เพื่อกำจัดพวกเดียรถีย์ปลอมบวชออกจากพระพุทธศาสนา
พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระทูลยืนยันกับพระเจ้าอโศกมหาราชว่าบัดนี้พระศาสนาบริสุทธิ์
พระองค์ทรงตรัสอาราธนาให้พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายทำอุโบสถสังฆกรรม
และทรงมีบัญชาให้ราชบุรุษถวายการอารักขาแก่พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายแล้วเสด็จกลับไปยังพระนคร
พระภิกษุสงฆ์พร้อมเพรียงกันประชุมทำอุโบสถสังฆกรรมเป็นสันนิบาตสืบต่อมา
พระเจ้าอโศกมหาราชกับการทำสังคายนาพระธรรมวินัย
พระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองสูงสุดในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช
(พ.ศ. ๒๗๑ – ๓๑๒)
ภายหลังจากที่พระองค์ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
พระองค์ทรงบริจาคพระราชทรัพย์วันละจำนวนมาก อุปถัมภ์บำรุงภิกษุสงฆ์ทั้ง ๑๘ นิกาย
และทรงงดการอุปถัมภ์พวกเดียรถีย์ที่เคยอุปถัมภ์มาก่อน
จึงทำให้พวกเดียรถีย์พากันปลอมบวชเพื่อหวังลาภสักการะ
พระเจ้าอโศกมหาราชทรงทราบเรื่องเหล่านั้นจึงทรงปรึกษากับพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระชำระมลทินในพระพุทธศาสนาให้หมดไป
พระภิกษุสงฆ์จึงทำอุโบสถกรรมร่วมกัน
พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นประธานประชุมได้วิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเห็นว่า
ร้ายแรงพอที่จะทำให้พระศาสนาเสื่อมสูญได้
เพื่อป้องกันมิให้เหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นอีกในอนาคต จึงแสดงกถาวัตถุปกรณ์
โดยนำสูตรจำนวน ๑,๐๐๐ สูตร ของฝ่ายสกวาที ๕๐๐ สูตร
และของฝ่ายปรวาที ๕๐๐ สูตร มาจำแนกตามนัยและมาติกาของกถาต่างๆ ตามที่พระพุทธเจ้าวางไว้
จากนั้นได้คัดเลือกพระเถระผู้มีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎกจำนวน ๑,๐๐๐ รูป เพื่อประชุมทำสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๓
การทำสังคายนาครั้งที่ ๓
หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ๒๓๔ ปี
พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระปรารภนักบวชนอกศาสนาที่ปลอมบวชเพื่อหวังลาภสักการะเป็นเหตุให้พระภิกษุสงฆ์ไม่ทำอุโบสถกรรมถึง
๗ ปี พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระขอความอุปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราช
ชำระสอบสวนและกำจัดเดียรถีย์เหล่านั้นออกจากพระธรรมวินัย ณ วัดอโศการาม
นครปาฏลีบุตร แคว้นมคธ ประเทศอินเดีย พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นประธาน พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเป็นผู้อุปัชถัมภ์
ประชุมสงฆ์ ๑,๐๐๐ รูป กระทำอยู่ ๙ เดือนจึงสำเร็จ
เมื่อทำสังคายนาสำเร็จแล้วพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระและพระเจ้าอโศกมหาราชได้จัดส่งสมณทูตไปประกาศพระพุทธศาสนาถึง
๙ สายในดินแดนต่างๆ ทั้งเอเชีย ยุโรป และอัฟกานิสถาน พระพุทธศาสนาจึงขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางทั่วโลก
พระเจ้าอโศกมหาราชกับการทำสังคมสงเคราะห์
พระเจ้าอโศกมหาราชทรงนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาใช้ในการบริหารบ้านเมืองให้สงบสุขและช่วยเหลือประชาชนให้อยู่ดีมีสุข
ผู้คนทั้งหลายในสมัยนั้นนิยมบูชายัญ มีการฆ่าคน แพะ โค สุกร ไก่ เป็นต้น นำมาเป็นเครื่องเซ่น
เครื่องสังเวยเทพเจ้า เพื่อให้ดลบันดาลสิ่งที่ตนประสงค์ให้สัมฤทธิ์ผลสมปรารถนา
พระองค์ทรงสลดสังเวชพระราชหฤทัยจากการทำสงครามทำลายชีวิตมนุษย์เป็นจำนวนมาก
พระองค์ทรงบัญญัติกฎหมายบ้านเมืองว่า
ต่อไปนี้ห้ามประชาชนไม่ให้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือทำทารุณกรรมผู้คน
สัตว์และสิ่งมีชีวิต ห้ามแสดงมหรสพที่เป็นอบายมุข ที่ไม่เป็นการสร้างสรรค์สังคม
เพราะพระองค์ทรงมีพระเมตตาต่อสรรพสัตว์และมนุษย์เป็นอย่างมากที่ถูกโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนและอดอยากยากไร้
ทรงจัดตั้งโรงพยาบาลรักษาคนและสัตว์ ปลูกพืชใช้ประกอบยาสมุนไพร ปลูกต้นไม้ให้ความร่มรื่นริมทาง
ขุดบ่อน้ำสำหรับคนและสัตว์ ให้ข้าราชการดูแลสุขทุกข์และสอนศีลธรรมแก่ประชาชน
ให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือลูกจ้าง ผู้ใช้แรงงาน คนยากจนอนาถา คนชรา ผู้สูงอายุ
และสมณพราหมณ์ และให้พระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องประหารชีวิตหรือผู้ถูกคุมขังและจองจำ
เป็นต้น
พระองค์ทรงสั่งสอนและส่งเสริมให้ประชาชนประพฤติปฏิบัติในคุณธรรมความดีด้วยการเชื่อฟังคำสั่งสอนของบิดามารดา
ญาติผู้ใหญ่ และครูอาจารย์ ให้เอื้อเฟื้อเจือจานแก่ญาติและเพื่อนสนิทมิตรสหาย
ตลอดจนบำรุงสมณพราหมณ์ ไม่ให้ฆ่าสัตว์และเบียดเบียนสัตว์ ให้ประหยัดและเก็บออมทรัพย์สิน
และทรงให้พระราชวงศ์ พระราชโอรส พระธิดา พระนัดดา ประพฤติอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม
นอกจากนั้นพระองค์ทรงสั่งสอนให้ข้าราชการประพฤติอยู่ในจริยธรรมและคุณความดี
ให้พสกนิกรเข้าเฝ้าฯ ร้องทุกข์ เข้าเฝ้าฯ ถวายฎีกาในกรณีฉุกเฉินต่างๆ
ทรงบำเพ็ญตนให้เป็นที่พึ่งของประชาชนและประโยชน์เกื้อกูลแก่ราษฎร
ทรงเสด็จเยี่ยมราษฎร พระราชทานจตุปัจจัยไทยทานแก่สมณพราหมณ์
และพระราชทานสิ่งของให้แก่เด็ก คนชรา ผู้สูงอายุ
และทรงสอนให้ประชาชนพลเมืองทำสิ่งที่เป็นธรรมมงคลจะได้อานิสงส์ผลบุญไม่มีที่สิ้นสุดทั้งโลกนี้และโลกหน้า
เป็นต้น
พระเจ้าอโศกมหาราชกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก
ทรงประกาศพระองค์เป็นอุบาสก เลิกทำสงครามนอกดินแดนนอกประเทศ
เว้นแต่สงครามป้องกันดินแดน
นับตั้งแต่พระองค์ทรงหันหลังให้สงครามหันหน้าเข้าหาพระพุทธศาสนา
ได้ทรงทุ่มเทพระกำลังพระวรกายและพระสติปัญญาในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ประชาชน
และพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองเป็นแผ่นดินธรรม ส่วนพระองค์ทรงเป็นธัมมิกราชา
(พระราชาผู้ทรงธรรม) และทรงตั้งพระราชหฤทัยอย่างแน่วแน่ในการประกาศพระพุทธศาสนาว่า
๑.
ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองและให้แผ่ไพศาลไปในโลก
๒. ทรงมีพระราชปณิธานว่า
จะทรงปกครองพลเมืองด้วยธรรมวิชัย คือ การเอาชนะด้วยธรรม
๓.
ทรงส่งสมณทูตออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในเอเชีย ยุโรป และอัฟกานิสถาน
การส่งสมณทูตในครั้งนั้นพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระได้พิจารณาเห็นว่าพระพุทธศาสนาจะไม่ตั้งมั่นในชมพูทวีป
แต่จะไปตั้งมั่นในนานาประเทศ
จึงได้ขอความอุปถัมถ์จากพระเจ้าอโศกมหาราชจัดส่งสมณทูตไปประกาศพระศาสนา ๙ สาย คือ
สายที่ ๑
พระมัชฌันติกเถระไปแคว้นกัสมีระและแคว้นคันธาระ ได้แก่
ดินแดนแถบตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย และบางส่วนของประเทศอัฟกานิสถาน
สายที่ ๒ พระมหาเทวเถระไปแคว้นมหิสมณฑล
ได้แก่ แคว้นไมซอร์หรือมานธาดา และบริเวณลุ่มแม่น้ำโคธาวารี ทางภาคใต้ของอินเดีย
สายที่ ๓ พระรักขิตเถระไปวนวาสีประเทศ
ได้แก่ แคว้นกนราเหนือ ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย
สายที่ ๔
พระธรรมรักขิตเถระไปอปรันตปชนบท ได้แก่
ดินแดนแถบชายทะเลเหนือเมืองบอมเบย์ในประเทศอินเดีย
สายที่ ๕
พระมหาธรรมรักขิตเถระไปแคว้นมหาราษฏร์ ได้แก่
ดินแดนแถบตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองบอมเบย์ในประเทศอินเดีย
สายที่ ๖ พระมหารักขิตเถระไปโยนกประเทศ
ได้แก่ แคว้นของฝรั่งชาติกรีกในทวีปเอเชียกลางเหนือประเทศอิหร่านขึ้นไปจนถึงเตอรกีสถาน
สายที่ ๗
พระมัชฌิมเถระไปดินแดนแถบภูเขาหิมาลัย
สายที่ ๘
พระโสณเถระและพระอุตตรเถระไปดินแดนสุวรรณภูมิ ได้แก่ ดินแดนแถบประเทศพม่า ไทย
มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
สายที่ ๙ พระมหินทเถระ
พระโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราชไปลังกาทวีป คือ ประเทศศรีลังกา
นครศรีธรรมราชได้รับพระพุทธศาสนา
นิกายเถรวาทครั้งแรกจากการส่งพระสมณทูตสายพระโสณเถระและพระอุตตรเถระที่ได้ออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่สุวรรณภูมิหรือแหลมทอง
ส่วนครั้งหลังได้รับพระพุทธศาสนา นิกายลังกาวงศ์จากสมณทูตสายพระมหินทเถระ
ซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราชที่ได้ออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่เกาะลังกา
ตามที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งไปประกาศพระศาสนาในคราวนั้น
บทสรุป
พระพุทธศาสนามีความเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่อดีต
กษัตริย์หลายพระองค์ทรงได้เดินตามรอยบาทพระศาสดา พระเจ้าอโศกมหาราชเป็นกษัตริย์อีกพระองค์หนึ่งที่ได้เดินตามรอยบาทพระศาสดา
พระองค์ทรงถือกำเนิดในตระกูลอโศก ราชวงศ์เมารยะ ทรงมีชื่ออีกพระนามว่า
พระเจ้าปิยทัสสี เป็นพระโอรสของพระเจ้าพินธุสารกับพระนางศิริธรรมา
ครองนครปาฏลีบุตร แคว้นมคธ
ครั้นเมื่อพระนางศิริธรรมาทรงพระครรภ์พระนางปรารถนาจะเหยียบดวงพระอาทิตย์และดวงจันทร์
ชรสารนาดาบสพยากรณ์ว่าในอนาคตพระโอรสจะได้เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ในชมพูทวีปและจะเป็นผู้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง
ขณะที่ทรงพระเยาว์พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ดุร้ายมีพระนามว่า จัณฑาโศก
เพราะพระองค์ทรงออกศึกตั้งแต่พระชนมายุ ๑๘ พรรษาและทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงวิทิสา
มีพระโอรสและพระธิดา ๒ องค์ คือ เจ้าชายมหินทและเจ้าหญิงสังฆมิตตา
พระเจ้าอโศกมหาราชทรงทำสงครามตั้งแต่วัยเยาว์ศึกที่พระองค์ทรงกระทำและมีชัยชนะ
คือ การนำทัพไปปราบกบฏที่นครตักกสิลาและการทำสงครามกับนักรบชาวกลิงคะ การทำศึกกลิงคะ๗-๘ปี
ทหารกลิงคะเสียชีวิตถูกจับเป็นเชลย และบ้านเรือนทรัพย์สินพังพินาศ
พระองค์ทรงเสียพระทัยที่ผู้คนล้มตายหลายแสนคน
ทรงเลิกทำสงครามและหันมานัยถือพระพุทธศาสนาและปกครองแผ่นดินโดยธรรม
สาเหตุที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงหันมานับถือพระพุทธศาสนา
คือ พระองค์ทรงสลดพระทัยในสงครามกลิงคะ
ทรงเลื่อมใสในสามเณรนิโครธที่มีกิริยามารยาทเรียบร้อยและเลื่อมใสในความอัศจรรย์ของพระอรหันต์องค์หนึ่ง
เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทรงหันมานับถือพระพุทธศาสนา
พระองค์ทรงบำเพ็ญประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาอย่างมากมาย เช่น สร้างวัดอโศการาม
สร้างสถูปเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานไว้ในสถานที่ต่างๆ จำนวน ๘๔,๐๐๐ องค์
เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทรงหันมานับถือพระพุทธศาสนา
พวกเดียรถีย์ขาดลาภสักการะ จึงได้ปลอมบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาเพื่อลาภสักการะ
นุ่งห่มผ้ากาสายะ เข้าร่วมอุโบสถสังฆกรรม จึงทำให้พระภิกษุสงฆ์ไม่ทำอุโบสถสังฆกรรม
๗ ปี พระเจ้าอโศกมหาราชทรงทราบ ตรัสสั่งอำมาตย์ให้ไประงับอธิกรณ์
แต่อำมาตย์ไม่รู้วิธีปฏิบัติ จึงนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ทำอุโบสถสังฆกรรม
เมื่อพระภิกษุสงฆ์ไม่ทำอุโบสถสังฆกรรมร่วมกับเดียรถีย์
อำมาตย์จึงใช้ดาบตัดศีรษะพระภิกษุเหล่านั้นเสีย พระเจ้าอโศกมหาราชทรงทราบก็ตกพระทัยจึงเสด็จไปวิหารตรัสถามพระเถระว่าบาปกรรมครั้งนี้จะพึงได้แก่ใคร
พระเถระถวายพระพรว่าบาปกรรมนี้จักไม่มีแก่พระองค์
ต่อจากนั้นพระองค์ทรงศึกษาพระธรรมวินัยกับพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระและประชุมสงฆ์ ณ
วัดอโศการาม เพื่อกำจัดพวกเดียรถีย์ปลอมบวชจากพระพุทธศาสนา
อาราธนาพระภิกษุสงฆ์ให้ทำอุโบสถสังฆกรรมและถวายการอารักขาแก่พระสงฆ์เหล่านั้น
พระเจ้าอโศกมหาราชทรงนำหลักธรรมมาบริหารบ้านเมืองและสงเคราะห์ประชาชนให้อยู่ดีมีสุข
ทรงบัญญัติกฎหมายบ้านเมืองห้ามมิให้ฆ่าคนฆ่าสัตว์ ห้ามมีมหรสพที่ส่งเสริมอบายมุข
จัดตั้งโรงพยาบาลรักษาคนและรักษาสัตว์ ปลูกพืชสมุนไพร ขุดบ่อน้ำ ปลูกต้นไม้
ช่วยเหลือคนใช้แรงงาน คนยากจน คนชรา และสมณพราหมณ์ พระราชทานอภัยโทษให้แก่นักโทษ
ส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมแก่ข้าราชการและประชาชน
เปิดโอกาสให้พสกนิกรเข้าเฝ้าร้องทุกข์ ทรงบำเพ็ญประโยชน์เกื้อกูล เสด็จเยี่ยมราษฎร
และสมณพราหมณ์ และทรงสั่งสอนให้ประชาชนทำการมงคลเพื่อประโยชน์ทั้งโลกนี้และโลกหน้า
พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระได้พิจารณาเห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ร้ายแรงพอที่จะทำให้พระศาสนาเสื่อมสูญ
จึงได้ป้องกันมิให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในอนาคต จากนั้นได้คัดเลือกพระเถระผู้มีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎกจำนวน
๑,๐๐๐ รูป เพื่อประชุมสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๓ ณ วัดอโศกการาม
โดยมีพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นประธานและพระเจ้าอโศกมหาราชทรงเป็นผู้อุปถัมภ์
กระทำ ๙ เดือนจึงสำเร็จและได้ส่งพระสมณทูตไปประกาศพระศาสนา ๙ สายในดินแดนต่างๆ
นครศรีธรรมราชก็ได้รับพระพุทธศาสนาสายพระโสณเถระและอุตตรเถระที่พระเจ้าอโศกมหาราชจัดส่งสมณทูตมาในครั้งนั้น
เอกสารอ้างอิง
พระจำปี ธีรปญฺโญ (ยาวโนภาส),
พระเจ้าอโศกมหาราชในฐานะนักธรรมมาธิปไตย, วิทยานิพนธ์
ศาสนศาสตรมหาบัณฑิต,
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑.
พระอาทิตย์ อคฺคจิตฺโต (มาตรา),
ศึกษาพระจริยวัตรของพระเจ้าอโศกมหาราช, วิทยานิพนธ์
ศาสนศาสตรมหาบัณฑิต,
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑.
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,
พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่ม ๓๗, กรุงเทพมหานคร :
โรงพิมพ์
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,
๒๕๓๙.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น