วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

หนึ่งศตวรรษภูมิวัฒนธรรมพื้นที่ชุ่มน้ำปลักอ่างทองตำบลท่าประตู่ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา



 บทความวิชาการที่ 17 โดยพระครูวรวิริยคุณ (ปราโมทย์ กลิ่นละมัย)
 หนึ่งศตวรรษภูมิวัฒนธรรมพื้นที่ชุ่มน้ำปลักอ่างทองตำบลท่าประตู่ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา 
          พื้นที่ชุ่มน้ำในภาคใต้ ซึ่งประกอบด้วยชายฝั่งทะเลขนานกับภูเขาและที่ราบริมฝั่งทะเล พื้นที่ชุ่มน้ำประกอบด้วยแม่น้ำสายสั้นๆ ป่าพรุ ป่าชายเลน หาดเลน หาดทราย หญ้าทะเล เกาะแก่งมากมายล้วนแล้วแต่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นแหล่งนกอพยพในฤดูหนาวและเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่มีชื่อเสียง  ทะเลสาบสงขลาซึ่งจัดว่าเป็นทะเลสาบน้ำกร่อยแห่งเดียวของประเทศไทย  มีพื้นที่กว้างขวางอยู่ริมฝั่งทะเลด้านที่ติดต่อกับอ่าวไทย เหนือทะเลสาบสงขลามีบึงน้ำจืดที่มีชื่อเสียงในฐานะเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของนกจำนวนมากคือ ทะเลน้อย  ส่วนชายฝั่งทะเลตะวันตกที่ติดกับทะเลอันดามันเต็มไปด้วยป่าชายเลนผืนใหญ่  เป็นแหล่งสำคัญที่เพาะพันธุ์ปลาและสัตว์น้ำอื่นๆ มีอ่าวพังงาซึ่งมีภูเขาหินปูนใหญ่น้อยกระจัดกระจายอยู่ภายใน  มีป่าพรุที่มีพันธุ์ไม้แตกต่างหลากหลายมีพันธุ์ปลาเฉพาะถิ่นอยู่มากหลายแห่งที่มีชื่อเสียงและยังคงสภาพสมบูรณ์ได้แก่ พรุโต๊ะแดง 
          ลักษณะภูมิวัฒนธรรมภาคใต้เป็นคาบสมุทรถูกขนาบข้างด้วยอ่าวไทยทางฝั่งตะวันออกและทะเลอันดามันทางฝั่งตะวันตก สภาพภูมิประเทศเป็นภูเขายาวเป็นแนวเหนือใต้หลายเทือกเขา คิดเป็นร้อยละ 35 ของพื้นที่ภาคใต้ มีแนวเขาภูเก็ตยาวตั้งแต่จังหวัดชุมพรถึงพังงาและทิวเขานครศรีธรรมราช  เริ่มจากทางทิศใต้ของจังหวัดสุราษฎร์ธานีผ่านจังหวัดนครศรีธรรมราชไปถึงจังหวัดสตูล  ทิวเขาทั้งสองนี้ทอดยาวไปทางตอนกลางของภาค  ส่วนทางใต้สุดของภาคมีแนวทิวเขาสันกาลาคีรีทอดยาวไปทางตะวันออก-ตะวันตก  กั้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับมาเลเซีย และพื้นที่ราบลุ่มเป็นแอ่งกระทะที่รับน้ำจากเทือกสันกาลาคีรี  เทือกเขาจำหมี  เทือกเขาคลองหิน และเทือกเขานาควนทางด้านทิศตะวันออกและเทือกเขาวังทางด้านทิศตะวันตก  ซึ่งได้ระบายน้ำลงสู่ฝั่งทะเลอ่าวไทยทางด้านทิศตะวันออก ได้แก่ พื้นที่ชุ่มน้ำและปลักอ่างทองตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลท่าประดู่ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา

ภูมิวัฒนธรรมพื้นที่ชุ่มน้ำปลักอ่างทอง
          พื้นที่ชุ่มน้ำ[1]ปลักอ่างทองตั้งอยู่ในพื้นที่ราบลุ่มทางด้านทิศใต้ของอำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่ราบรับน้ำจากภูเขาสันกาลาคีรีอันเป็นเทือกเขากั้นเขตแดนประเทศไทยและมาเลเซียไหลลงสู่แม่น้ำนาทวี  ซึ่งรับน้ำจากภูเขาทางด้านทิศตะวันออกอันเป็นเทือกเขากั้นระหว่างอำเภอนาทวีกับอำเภอสะบ้าย้อยและรับน้ำจากภูเขาด้านทิศตะวันตกกันระหว่างอำเภอนาทวีกับอำเภอสำเดา จังหวัดสงขลา น้ำไหลผ่านที่ราบลงสู่ทะเลอ่าวไทยทางทิศตะวันออกที่อำเภอจะนะและอำเภอเทพา  จังหวัดสงขลา  พื้นที่ชุ่มน้ำปลักอ่างทอง  ปลักอ่างทองเป็นอ่างเก็บน้ำตามธรรมชาติและเป็นศูนย์กลางของชุมชน  ตั้งอยู่ในพื้นที่ของหมู่ที่ 1,2 และ 3 ตำบลท่าประดู่ อำเภอนาทวี  จังหวัดสงขลา มีสายน้ำไหลผ่านพื้นที่ชุ่มน้ำลงสู่ปลักอ่างทอง 5 สาย คือ
          1. คลองสายนาควนเป็นคลองส่งน้ำจากแหล่งพักน้ำนาควร  ซึ่งเป็นแหล่งพักน้ำที่อยู่ใกล้ภูเขาทางทิศตะวันออกและไหลลงสู่ปลักอ่างทอง
          2. คลองสายคลองหินเป็นธารน้ำไหลผ่านพื้นที่ชุ่มน้ำทุ่งหัวเมืองลงสู่ที่พักน้ำพรุดุก ไหลผ่านทุ่งพอและไหลลงสู่ปลักอ่างทอง
          3. คลองสายคลองจำหมีเป็นธารน้ำไหลผ่านพื้นที่ชุ่มน้ำลงสู่ที่พักน้ำพรุดุก ไหลผ่านทุ่งพอและไหลลงสู่ปลักอ่างทอง
          4. คลองตีนะ เป็นคลองส่งน้ำจากบ้านป๋อง บ้านหว้าหลัง บ้านหัวควน และป่ายาง ไหลลงสู่ที่พักน้ำพรุดุกและไหลลงสู่ปลักอ่างทอง 
          5. คลองนาทวีไหลผ่านทางทิศตะวันตกของปลักอ่างทองและไหลผ่านตัวอำเภอนาทวีเข้าสู่พื้นที่อำเภอจะนะและลงสู่อ่าวไทยทางทิศตะวันออกของอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา
          สายน้ำคลองนาควน คลองหิน คลองจำหมี และคลองตีนะ จะไม่มีน้ำไหลในฤดูแล้งแต่จะมีน้ำไหลเฉพาะในฤดูฝนเท่านั้น ส่วนคลองนาทวีจะมีน้ำไหลตลอดทั้งปี แม้ว่าในฤดูแล้งจะไม่มีน้ำไหลลงสู่ปลักอ่างทองแต่ปลักอ่างทองก็มีน้ำเต็มปลักหรืออ่างและไม่เคยแห้งในฤดูแล้ง 
          ระบบนิเวศอันอุดมสมบูรณ์ของภูมิประเทศทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่ชุ่มน้ำปลักอ่างทอง จึงทำให้มีผู้คนในชุมชนอื่นๆ ได้อพยพย้ายถิ่นเข้ามาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนในพื้นที่ชุ่มน้ำรอบๆ ปลักอ่างทอง เพื่อเข้ามาจับจองสถานที่ทำกินและใช้ทรัพยากรธรรมชาติ  จึงทำให้เกิดชุมชนขึ้นรอบๆ ปลักอ่างทองจำนวน 6 ชุมชน คือ  ชุมชนปลักอ่างทอง  ชุมชนดังหมูเหนือ ชุมชนดังหมูใต้ ชุมชนท่าประดู่ ชุมชนวังไม้ไผ่และชุมชนทุ่งดุก         วิถีชีวิตของคนไทยในพื้นที่ลุ่มน้ำมีความชัดเจนมาตลอดในประวัติศาสตร์ความเป็นชาติเกี่ยวกับการรู้จักการพัฒนาแหล่งน้ำและการนำน้ำมาใช้ประโยชน์ในการเกษตรที่เป็นอาชีพหลักของคนทั้งชาติหรือของคนไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน  จึงเป็นที่ทราบกันดีว่า “ทรัพยากรน้ำกับวิถีชีวิตไทย” เป็นสิ่งที่แยกไม่ออก เพราะน้ำเป็นทรัพยากรหรือปัจจัยพื้นฐานหลักในการดำรงชีวิต  การพัฒนาสังคม  เศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศและชุมชนในทุกพื้นที่  โดยเฉพาะในแหล่งสร้างสมอารยธรรมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  รวมทั้งสังคมไทยที่ได้รับสมญานามหรือรู้จักกันทั่วไปว่าเป็นสังคมน้ำหรือ “Hydraulic Society” หรือ “Hydrographic Society” และเป็นสังคมที่มีชีวิตผูกขาดกับการปลูกข้าวหรือ “Rice Monopoly Culture” ทางภูมิศาสตร์ที่ได้เปรียบและเอื้อหรือสนับสนุนอย่างชัด  โดยเฉพาะกายภาพของพื้นที่เป็นพื้นที่ลุ่มน้ำ  (Watershed หรือ catchment are as)    
การตั้งชุมชนพื้นที่ชุ่มน้ำปลักอ่างทอง
          ปลักอ่างทองเป็นอ่างเก็บน้ำธรรมชาติที่ลึกสามารถกักเก็บน้ำตามธรรมชาติที่มีสายน้ำจากคลองนาควนไหลลงสู่ปลักอ่างทอง  คลองหินและคลองจำหมีไหลผ่านพรุดุกซึ่งเป็นแหล่งพักน้ำแล้วไหลลงสู่ปลักอ่างทอง ปลักอ่างทองนอกจากเป็นปลักระบายน้ำลงสู่แหล่งพักน้ำพรุหว้าอีกด้วย  บริเวณรอบปลักอ่างทองเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำได้แก่ พื้นที่รอบๆ  พรุหว้าอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของปลักอ่างทองและพื้นที่รอบๆ พรุดุกอยู่ทางทิศใต้ของปลักอ่างทอง  พื้นที่ชุ่มน้ำในประเทศไทยมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของชุมชนอย่างมาก  มีการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ชุ่มน้ำในชีวิตประจำวันทั้งด้านความเป็นอยู่ สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม เป็นต้น พื้นที่ชุ่มน้ำมีความสำคัญในแง่เป็นแหล่งที่รวบรวมความหลากหลายทางชีววิทยาทั้งในเชิงจำนวนองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตแหล่งพันธุกรรม  เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยหากินและแพร่ขยายพันธ์พืชและสัตว์นานาชนิด  มีคุณค่าความสำคัญทางเศรษฐกิจสูง  เป็นแหล่งผิวน้ำและน้ำท่าใช้เพื่ออุปโภคบริโภค เป็นแหล่งทำมาหากินเลี้ยงชีพและเป็นรายได้  เป็นแหล่งทรัพยากรต่างๆ ทั้งทางเกษตรกรรม ผลผลิตพืช อาหารหลักและสินค้าออกที่สำคัญคือ ข้าว พื้นที่ชุ่มน้ำในประเทศไทยเปรียบเสมือนเป็น “อู่ข้าวอู่น้ำของไทย” เป็นแหล่งทำการประมงที่สมบูรณ์เคยเป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่า “ในน้ำมีปลา  ในนามีข้าว”  ผลผลิตปลาเป็นอาหารโปรตีนที่สำคัญของผู้คนได้จากแหล่งน้ำทั่วไป ทั้งแม่น้ำลำคลอง ลำธารลำห้วย  หนองบึงใหญ่น้อยและผลผลิตจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ  เป็นแหล่งนันทนาการและการท่องเที่ยวทางธรรมชาติ  ศิลปวัฒนธรรมและแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และมีคุณค่าความสำคัญต่อวิถีชีวิตและเอกลักษณ์ของความเป็นไทยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสังคมไทย วัฒนธรรม ประเพณี ประวัติศาสตร์และศาสนา การตั้งถิ่นฐานบ้านเมืองจึงมักเกิดขึ้นตามลำน้ำเล็กๆ และพื้นที่รับน้ำที่เป็นหนองบึงแทน  เพราะหนองบึงตามธรรมชาตินั้นตามฤดูกาล (Season) ก่อให้เกิดพื้นที่สามอย่างขึ้น คือ พื้นที่ลาดต่ำที่มีลำน้ำและไหลแผ่ (Sheet) ลงมาสู่หนองบึง  พื้นที่เช่นนี้เหมาะกับการตั้งแหล่งชุมชนทั้งบ้านและเมือง  เพราะเป็นพื้นที่น้ำท่วมไม่ถึงในยามปกติ พื้นที่ถัดไปคือพื้นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงฤดูฝนแต่แห้งในฤดูแล้ง  จนสามารถทำการเพาะปลูกข้าวได้ และพื้นที่อย่างที่สามคือ พื้นที่น้ำขังที่เป็นพื้นที่น้ำลึกของหนองและบึง  แม้จะมีน้ำขังก็ไม่ขังแบบนิ่งจนเน่า  เพราะมีการผ่อนถ่ายลงสู่ลำน้ำใหญ่ในฤดูฝน ฤดูน้ำ จะนิ่งเพียงฤดูแล้ง  สภาวะความนิ่งเช่นนี้ทำให้เกิดวัชพืชและสัตว์น้ำ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ กุ้ง หอย ปู ปลานานาชนิด อันเป็นอาหารแก่คนในฤดูแล้ง
          ปลักอ่างทองเป็นอ่างเก็บน้ำตามธรรมชาติและเป็นศูนย์กลางของพื้นที่ชุ่มน้ำจึงเหมาะแก่การตั้งชุมชนจึงได้เกิดมีชุมชนเกิดขึ้น 6 ชุมชน  ได้แก่ ชุมชนปลักอ่างทอง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ชุมชนดังหมูเหนือ ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตก ชุมชนดังหมูใต้  ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ  ชุมชนท่าประดู่ ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตก ชุมชนวังไม้ไผ่ ตั้งอยู่ทางทิศใต้ และชุมชนทุ่งดุก ตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ถัดไปจากชุมชนวังไม้ไผ่ การปรับเปลี่ยนพื้นที่ทางภูมิประเทศให้เป็นภูมิวัฒนธรรมด้วยการกำหนดเอาชื่อเทือกเขา ควนหรือภู โคกเนิน หุบแช่ง ปลัก ลำห้วย หนอง บึง เป็นต้น  ให้มีชื่อเสียงเป็นที่รับรู้ของคนในท้องถิ่นเป็นสัญลักษณ์และเครื่องหมายการอยู่ร่วมกันทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง  ปลักอ่างทองจึงเป็นลักษณะภูมิวัฒนธรรมที่มีความสัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานหรือการตั้งชุมชนบ้านเมืองของผู้คนในท้องถิ่นจนเป็นที่รู้จักกัน  จึงได้กำหนดนามชื่อสถานที่แห่งนี้ให้เป็นที่รู้จักในลักษณะที่เป็นแผนภูมิหรือแผนที่เพื่อสื่อสารถึงกันโดยการสร้างตำนานขึ้นมาอธิบายถึงความเป็นมา ความหมาย ความสำคัญทางประวัติศาสตร์  เศรษฐกิจ และสังคม  ตำนานเหล่านั้นมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรและการบอกเล่าความทรงจำถ่ายทอดจากคนรุ่นเก่าไปสู่คนรุ่นใหม่หรือคนในท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง ตำนานปลักอ่างทองมีเรื่องเล่าว่าเศรษฐีสองสามีภรรยาชาวเมืองไทรบุรีได้นำทองคำสิ่งของมีค่าเพื่อจะไปบูชาและซ่อมแซมพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช  เมื่อสองสามีภรรยาได้เดินทางมาถึงบริเวณบ้านดังหมูเหนือ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของปลักอ่างทองก็ถูกโจรปล้นจึงได้นำทองคำสิ่งของมีค่าหนีไปซ่อนไว้ในปลักอ่างทองทางด้านทิศใต้  ปัจจุบันบริเวณนี้เป็นชุมชนปลักอ่างทองและสองสามีภรรยาก็ได้เสียชีวิตลงที่นั่น  เมื่อเวลาผ่านไปหลายร้อยปีก็ได้มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่าในคืนวันพระจันทร์เต็มดวงหรือวันเพ็ญในบริเวณที่สองสามีภรรยานำทองคำสิ่งของมีค่ามาซ่อนไว้นั้นจะมีถาดทองคำ 1 ใบลอยอยู่เสมอน้ำให้เห็นอยู่ประจำ และในเวลาต่อมาผู้คนในบริเวณนั้นจะพบเห็นจระเข้สีทองในบริเวณนั้น อีกด้วย  ปัจจุบันนี้ปลักอ่างทองเป็นอ่างเก็บน้ำธรรมชาติซึ่งกรมชลประทานได้พัฒนาเป็นอ่างเก็บน้ำที่มีประตูระบายน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วม  ปลักอ่างทองมีน้ำขังตลอดทั้งปี และมีเรื่องเล่าเป็นตำนานสืบต่อกันมาเป็นเรื่องราวของทวดอ่างทองหรือผีน้ำ

ความอุดมสมบูรณ์ของสภาพแวดล้อมในพื้นที่ชุ่มน้ำปลักอ่างทอง
          พื้นที่ชุ่มน้ำปลักอ่างทองมีลักษณะเป็นพื้นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงในฤดูฝนแต่แห้งในฤดูแล้ง ได้แก่ พื้นที่ชุ่มน้ำแหล่งพักน้ำพรุดุกและพรุหว้า  ส่วนปลักอ่างทองเป็นอ่างกักเก็บน้ำตามธรรมชาติที่มีน้ำขังตลอดทั้งปี  และในฤดูฝนจะเป็นประตูระบายน้ำสู่พรุหว้าซึ่งเป็นแหล่งพักสำหรับทำนาได้เป็นอย่างดี  พื้นที่รอบปลักอ่างทองและพรุทั้งสองสามารถทำการเพาะปลูกข้าวได้  ผู้คนที่อยู่อาศัยในชุมชนพื้นที่ชุ่มน้ำมีอาชีพทำนาปลูกข้าวกันทุกครัวเรือน  การทำนาในพื้นที่ชุ่มน้ำรอบปลักอ่างทอง  อาศัยน้ำฝนตามธรรมชาติหรือน้ำในฤดูฝน  ส่วนการทำนานั้นจะต้องใช้แรงงานคนภายในครอบครัวและแรงงานการลงแขก  ซึ่งเป็นวิธีการแลกเปลี่ยนแรงงานช่วยเหลือในการผลิต และเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างคนในหมู่บ้านและชุมชน  จึงเป็นการอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัยกัน  ใครทำอะไรหนักหนาเกินความสามารถของครอบครัวตนหรือจะเร่งให้งานเสร็จเร็วขึ้นจะมักไหว้วานขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านหรือเพื่อนบ้านเมื่อรู้ข่าวก็มาช่วยเหลือทำงานนั้นจนสำเร็จ  โดยที่เจ้าของงานจะต้องหุงหาอาหารไว้เลี้ยงแขกที่มาช่วยงาน การทำนาปลูกข้าว  การเก็บเกี่ยวข้าวและการนวดข้าวเป็นขั้นตอนที่ใช้แรงงานจำนวนมาก  ซึ่งแรงงานหลักที่ใช้ในการทำนาปลูกข้าว ได้แก่  แรงงานในครอบครัว แรงงานญาติ  พี่น้องและแรงงานจากเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดมาช่วยเหลือ  มาเอาแรงงานกันชาวบ้านเรียกว่า “ลงแขก” ส่วนเครื่องมือเก็บเกี่ยวข้าว เครื่องมือสีข้าว  เครื่องมือตำข้าว  ชาวบ้านจะใช้ภูมิปัญญาทำขึ้นใช้เอง  จากคำบอกเล่าว่า  “ได้ข้าวมาตำกัน”  สมัยก่อนใช้สากมือตำข้าวและเครื่องสีข้าวมือหมุน  เพราะว่าข้าวเป็นอาหารหลักของชาวบ้าน ดังนั้น การทำนาปลูกข้าวของชาวบ้านในพื้นที่ชุ่มน้ำรอบปลักอ่างทอง ด้วยการใช้ในครอบครัว ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านด้วยการลงแขกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนช่วยเหลือกันจนงานสำเร็จเสร็จตลอดทั้งปี 
          การผลิตและการดำรงชีวิตของชุมชน
          ผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำปลักอ่างทองในระยะแรกการตั้งชุมชน ผู้คนเหล่านั้นจะถางป่าปลูกข้าวทำไร่เลื่อนลอยพร้อมกับการปลูกยางพาราพันธุ์พื้นบ้าน  โดยการนำเมล็ดพันธุ์ยางมาปลูกเป็นแถวในขณะที่ทำไร่ข้าวและเมื่อเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วจะไม่กลับมาถางป่าอีกจะรอจนกว่ายางพาราต้นโตสามารถกรีดได้จึงกลับมาแผ้วถางเพื่อกรีดยางพาราแต่จะเว้นป่าไว้เรียกว่า ป่ายาง เพราะมีทั้งป่าและยางพาราปะปนกัน เมื่อประมาณปี พ.ศ.2500 เป็นต้นมา  ผู้คนในชุมชนได้เริ่มหันมาทำนาปลูกข้าวในพื้นที่เป็นพรุเป็นทุ่งและบุกเปิกถางป่าเป็นนา ขุดคูส่งน้ำเข้านา อาทิเช่นการทำเขื่อนดินปิดกั้นคลองส่งน้ำสายนาควนที่มีน้ำไหลลงสู่ปลักอ่างทอง  ซึ่งต้องการให้น้ำไหลตามคูระบายน้ำที่ขุดขึ้นเข้าสู่ทุ่งนาที่เรียกว่าทุ่งพอเสียก่อนแล้วจึงไหลลงสู่ปลักอ่างทอง เป็นต้น
          สถานที่ทำนาของพื้นที่ชุ่มน้ำปลักอ่างทองได้แก่  ทุ่งนาพรุหว้า  พื้นที่ชุ่มน้ำรอบพรุผู้คนได้ขยายพื้นที่ทำนาและทุ่งนาพรุดุก  พื้นที่ชุ่มน้ำรอบพรุผู้คนได้ขยายพื้นที่ทำนา  ตลอดจนพื้นที่ชุ่มน้ำรอบปลักอ่างทอง  ในการทำนานั้นชาวนาจะต้องอาศัยแหล่งน้ำธรรมชาติและน้ำฝนในการทำนา  โดยการอาศัยน้ำจากคลองนาควน คลองหิน คลองจำหมี  และคลองนาทวี  พันธุ์ข้าวที่ใช้ปลูกนาปีจะต้องมีลักษณะพิเศษเพราะเป็นนาที่มีน้ำท่วม พันธุ์ข้าวที่นิยมปลูกมี 2 แบบ  คือ  ข้าวหนักหรือข้าวที่ออกรวงช้ากินเวลาตั้งแต่นักดำจนถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 4 เดือนและข้าวเบาหรือข้าวที่ออกรวงเร็วใช้เวลาประมาณ  3  เดือน  พันธุ์ข้าวที่ปลูกเป็นข้าวพื้นบ้านได้แก่  ข้าวเล็บนก ข้าวค้ำฉาง ข้าวเกิด  ข้าวดอกพะยอม  ข้าวนวลหงส์  เป็นต้น  การปลูกข้าวจะเริ่มตั้งแต่ประมาณเดือนกรกฎาคม – สิงหาคมและจะเก็บเกี่ยวประมาณเดือนตุลาคม – พฤศจิกายนของทุกๆ ปี
          การทำนาของผู้คนในพื้นที่ชุ่มน้ำปลักอ่างทอง  ซึ่งใช้วิธีการทำนาแบบข้าวนาดำ เรียกว่า การปักดำแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนแรกการเตรียมดินและหว่านข้าวกล้าลงในแปลงขนาดเล็กและขั้นตอนที่สอง การถอนข้าวกล้านำไปปักดำในนาแปลงใหญ่
          ขั้นตอนแรก  การเตรียมดินสำหรับปลูกข้าวแบบปักดำ  จะต้องเตรียมดินด้วยการไถดะ  ไถแปรและคราด  โดยการใช้แรงงานคน  แรงงานควายหรือรถแทร็กเตอร์ขนาดเล็กเรียกว่า ควายเหล็ก พื้นที่ทำนาปักดำมีคันนาแบ่งกั้นออกเป็นแปลงเล็กๆ คันนามีไว้สำหรับแบ่งเขตแดนและกักเก็บน้ำหรือปล่อยน้ำทั้งจากแปลงนา  นาปักดำจึงมีการบังคับน้ำในนาได้บ้างพอสมควร  ก่อนที่จะมีการไถนาจะต้องรอให้ดินมีความชื้นพอที่จะไถได้เสียก่อนหรือรอให้ฝนตกจนน้ำขังในพื้นที่นาแล้วปล่อยให้น้ำเข้าผืนนาเพื่อให้ดินเปียก  การเลือกพื้นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ของดินเป็นพิเศษ เพื่อหว่านกล้าโดยชาวนาเลือกพื้นดินที่ไม่มีน้ำขังด้วยการนำเอาเมล็ดพันธุ์ข้าวที่สมบูรณ์ไปโรยบนหน้าดินที่เตรียมไว้แล้วกลบด้วยดินเพื่อป้องกันนกและหนู  ในช่วงการหว่านกล้าจะมีฝนตกบ่อยๆ  เมล็ดข้าวก็จะงอกขึ้นมาเป็นต้นกล้า อายุของต้นกล้าประมาณ 25-30 วัน ถึงจะถอนต้นกล้าเตรียมนำไปปักดำได้
          ขั้นตอนที่สอง  การถอนต้นกล้าขึ้นจากแปลงแล้วมัดรวมกันเป็นมัดๆ  ถ้าต้นกล้าสูงมากก็ตัดปลายใบทิ้ง  ส่วนต้นกล้าที่ได้มาจากต้นกล้าดินเปียกจะต้องสลัดเอาดินโคลนที่รากออกเสียแล้วนำไปแช่น้ำไว้ในนาเพื่อเตรียมปักดำ  ในช่วงการปักดำในนาจะมีน้ำฝนขังอยู่  การปักดำข้าวจะใช้ต้นกล้าจำนวน 3-4 ต้นและปักดำเป็นแถวเป็นแนวมีระยะ  ห่างระหว่างกอข้าวประมาณ  25x25  เซนติเมตร  ซึ่งเป็นการปักดำที่จะให้ผลผลิตสูงอีกด้วย หลังจากการปักดำต้นข้าวได้น้ำสมบูรณ์ก็จะแตกกอเขียวไปทั่วท้องทุ่ง  พอถึงปลายเดือนตุลาคม  ข้าวเริ่มจะออกดอกตั้งท้อง  ช่วงเวลานี้ชาวนาต้องคอยระวังศัตรูของต้นข้าว ได้แก่ ปู หนู เต่า นาค และแมลงต่างๆ ไม่ให้กัดกินต้นข้าว  สมัยโบราณไม่มีสารเคมีฆ่าศัตรูของต้นข้าว  ชาวนาต้องคอยระวังรักษาเอง  และสิ่งที่ช่วยได้ทางจิตใจก็คือการเซ่นไหว้บูชาเทวดา 3 องค์  ได้แก่ พระภูมิ แม่ธรณี และแม่โพสพ อันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามคติความเชื่อ  เพื่อแสดงความเคารพผีสางเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยชาวนา  ชาวนาจึงมีความอ่อนน้อมถ่อมตนรู้คุณค่าสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นข้าวหรือควายที่ช่วยทำไร่ไถนาจะต้องเลี้ยงดูอย่างดี  ชาวนาต้องทำนาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน  เพื่อให้ได้ผลผลิตตามที่ต้องการ  ซึ่งจะต้องอาศัยธรรมชาติเป็นหลัก  ทั้งน้ำฝนที่ตกตามฤดูกาล  ฝนแล้งหรือฝนมากเกินไปก็ทำให้ข้าวในนาเสียหาย  เช่นเดียวกับน้ำจากแม่น้ำลำคลองหากมากเกินไปก็ท่วมนาต้นข้าวเสียหาย  ดังนั้น การทำนาในอดีตจึงต้องพึ่งน้ำตามธรรมชาติ  จึงไม่สามารถกำหนดเวลาและปริมาณได้เหมือนกับระบบชลประทานที่สามารถควบคุมปริมาณน้ำได้ตามความต้องการ เมื่อข้าวสุกจะมีพิธีเก็บขวัญข้าวหรือแรกเก็บข้าว  โดยผู้อาวุโสของชุมชนที่มีความรู้เกี่ยวกับการเก็บขวัญข้าวมาทำพิธีเก็บให้  เจ้าของนาเก็บขวัญข้าวไปไว้ในยุ้งฉางและไว้เป็นพันธุ์ข้าวในปีต่อไป  การเก็บข้าวจะใช้แกระเก็บข้าวทีละรวงแล้วมัดเป็นกำๆ  ข้าวที่เก็บแล้วจะเก็บไว้ในยุ้งฉางที่โปร่งและมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก เมื่อต้องการนำข้าวมาหุงหรือแลกเปลี่ยนหรือขาย เจ้าของข้าวจะนำข้าวออกมานวด ตากแดด สี และตำเป็นข้าวสาร 

          ความอุดมสมบูรณ์ของปลักอ่างทอง
          ปลักอ่างทองเป็นอ่างเก็บน้ำตามธรรมชาติที่เป็นศูนย์กลางของชุมชน ซึ่งมีตำนานเป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมาเป็นเวลานาน  หนองน้ำที่มีลักษณะคล้ายกับอ่างหรือกระทะ 2 ใบ อยู่ทางด้านเหนือใต้  มีน้ำไหลมาจากทิศใต้ลงไปทางทิศเหนือ  ด้านทิศใต้มีลักษณะเป็นอ่างและมีตำนานเล่าสืบต่อๆ กันมาว่าสถานที่ตรงนี้เป็นที่เก็บซ่อนทองคำสิ่งของมีค่าจากเศรษฐีสองสามีภรรยาชาวไทรบุรี (รัฐเกดะห์) ประเทศมาเลเซีย และด้านทิศเหนือมีลักษณะเป็นอ่างหรือกระทะขนาดใหญ่กว่าทางด้านทิศใต้  ปลักอ่างทองเป็นอ่างเก็บน้ำธรรมชาติที่มีลักษณะยาวยาวและลึกน้ำไม่เคยแห้ง  ระหว่างสองฝั่งของปลักอ่างทองมีป่าสาคู  ต้นไม้ใหญ่และหญ้ารกมาก  มีท่าน้ำที่วัวและควายลงดื่มน้ำ สาคูเป็นพืชในวัฒนธรรมของคนในภาคใต้รวมไปถึงอินโดนีเซีย  เป็นพืชที่ขึ้นในแถบเส้นศูนย์สูตร ตั้งแต่ทางภาคใต้จังหวัดชุมพรของประเทศไทยลงมาถึงประเทศมาเลเซีย  อินโดนีเซีย ปาปัวนิวกินี  แต่น่าเสียดายที่คนไทยไม่ค่อยมีคนรู้จักสาคู  ทั้งที่สาคูเป็นพืชในชีวิตประจำวันเป็นสัญลักษณ์ของคนชนบทในภาคใต้ ป่าสาคูเป็นพืชที่ป่าที่มีความสำคัญและมีประโยชน์นานัปการ  ทั้งประโยชน์ที่เกิดจากระบบนิเวศของป่าสาคู เป็นระบบที่มีการเกื้อกูลกันในทางนิเวศวิทยาสูงและในพื้นที่ที่มีต้นสาคูจะมีความหลากหลายในระบบนิเวศมากมายทั้งพืช ผัก ผลไม้  พื้นบ้าน สัตว์บก สัตว์น้ำ พืชสมุนไพรต่างๆ อาศัยซึ่งกันและกัน บริเวณที่มีป่าสาคูจึงมีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ  เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่ช่วยกักเก็บน้ำตามธรรมชาติ  สามารถช่วยลดและบรรเทาความเดือดร้อนของโลกที่กำลังเป็นวิกฤติปัญหาภาวะโลกร้อนในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ประโยชน์ที่เกิดจากระบบนิเวศป่าสาคูจำแนกได้ 2  ลักษณะ คือ การใช้ความชุ่มชื้นในพื้นที่ชุ่มน้ำ  เพราะเป็นพืชซับน้ำ อนุรักษ์ดินและเป็นพืชหลักของระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำ  เพราะลักษณะของต้นสาคูมีคุณสมบัติในการซึมซับน้ำและกักเก็บน้ำได้เป็นอย่างดี เช่น รากของสาคูช่วยซึมซับน้ำ  ใบของสาคูเป็นหลังคาให้กับลำคลองช่วยบังแดดลดการกระหายของน้ำ  สาคูเป็นไม้ให้ร่ม เพราะมีลำต้นขนาดใหญ่ สูงและมีเรือนยอดที่แผ่กว้างให้ความร่มรื่นเป็นอย่างดี  ในเวลาน้ำหลากสาคูก็ยังช่วยลดการพังทลายของดินและชะลอความแรงของน้ำไม่ให้ไหลเชี่ยวเกินไป  เนื่องจากสาคูมีระบบรากที่แข็งแรง  สามารถป้องกันการพังทลายที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำได้ดี  ทำหน้าที่เสมือนเขื่อนแม้วธรรมชาติ  นอกจากนี้รากของสาคูที่พะรุงพะรังยังเป็นตัวกรองตะกอนให้ตกอยู่  ทำให้ดินบริเวณนั้นอุดมสมบูรณ์  ส่วนประโยชน์อีกลักษณะหนึ่งคือเป็นแหล่งน้ำในการซับน้ำ เพาะพันธุ์ปลาและสัตว์น้ำอื่นๆ และการใช้น้ำในการอุปโภคบริโภค  โดยธรรมชาติสาคูคู่กับน้ำถือว่าเป็นของคู่กัน ชาวบ้านมักจะพูดกันเสมอว่า “ที่ไหนมีป่าสาคูที่นั่นต้องมีน้ำ” เป็นคำยืนยันของชาวบ้านในพื้นที่รอบป่าสาคู ชาวบ้านจึงนิยมขุดบ่อน้ำบริเวณใกล้ป่าสาคู  เพราะในช่วงหน้าแล้งน้ำจะไม่แห้งขอด ทำให้ชาวบ้านมีน้ำใช้ในการอุปโภคและบริโภคตลอดทั้งปี
          ประโยชน์อีกด้านหนึ่งของป่าสาคูคือประโยชน์จากต้นสาคูและทรัพยากรในป่าสาคู เป็นแหล่งอาหาร แหล่งสมุนไพร  แหล่งไม้ใช้สอยหรือการใช้ประโยชน์จากต้นสาคูโดยตรง เช่น การทำแป้งและการนำแป้งมาแปรรูปเป็นอาหารคาวหวานต่างๆ การทำจากมุงหลังคา  การนำต้นสาคูมาเลี้ยงด้วงและเลี้ยงสัตว์  การนำทางสาคูมาทำเป็นเครื่องใช้ในครัวเรือน เช่น ทำสื่อ เครื่องมือประมงชนิดต่างๆ และเครื่องใช้ภายในบ้านเรือน เป็นต้น ปลักอ่างทองจะมีน้ำขังแบบนิ่งไม่เน่าในฤดูแล้ง  และมีการผ่อนถ่ายลงสู่แหล่งพักน้ำพรุหว้าในฤดูฝนหรือฤดูน้ำ  น้ำจะนิ่งเพียงในฤดูแล้ง สภาวะความนิ่งทำให้เกิดวัชพืชและสัตว์น้ำ  สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ กุ้ง หอย ปู ปลานานาชนิด อันเป็นอาหารแก่ผู้คนในทุกฤดูกาล  โดยเฉพาะปลาและหอย  อีกทั้งน้ำขังอยู่นั้นก็เป็นสิ่งที่ผู้คนนำไปอุปโภคบริโภคร่วมกันในฤดูแล้ง ที่น่าสนใจอย่างยิ่งก็คือผู้คนในสมัยโบราณมีการปลูกข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจนั้น  ไม่นิยมใช้น้ำในหนองบึงเพื่อการเพาะปลูกข้าวและพืชไร่  หากรักษาให้เป็นแหล่งน้ำแหล่งอาหารเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ร่วมกัน  ดังเห็นได้จากการมอบอำนาจความเป็นเจ้าของแหล่งทรัพยากรธรรมชาติดังกล่าวให้อยู่ภายใต้การดูแลของอำนาจเหนือธรรมชาติ  โดยมีการกำหนดตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งที่เหมาะสมให้เป็นที่สถิต เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่คนล่วงล้ำไม่ได้และเป็นพื้นที่ในการประกอบประเพณีพิธีกรรมตามฤดูกาลที่เกี่ยวข้อง บึงหนองก็คือ อ่างเก็บน้ำ (Tank) ตามธรรมชาติ   
          ชุมชนบ้านและเมืองที่เกิดขึ้นรอบๆ อ่างเก็บน้ำมีการกำหนดแหล่งศักดิ์สิทธิ์ของอำนาจเหนือธรรมชาติให้เป็นศูนย์กลางภูมิจักรวาลของท้องถิ่น  เพื่อให้ผู้คนได้มาประกอบพิธีกรรมร่วมกัน  จนเกิดสำนึกความเป็นผู้คนบ้าน  และเมืองในท้องถิ่นเดียวกันขึ้นมา ทั้งภาคเหนือ ภาคอีสานได้มีการสร้างตำนานเพื่อสร้างสำนึกทางศีลธรรมและจริยธรรมในการใช้ทรัพยากรร่วมกันไว้ในลักษณะโครงสร้างและเนื้อหาเหมือนกันแทบทุกหนแห่ง เช่น ตำนานผาแดงนางไอ่ ในแอ่ง  จังหวัดสกลนคร  ภาคอีสาน  ตำนานกว๊านพะเยาจังหวัดพะเยา ภาคเหนือ และตำนานบึงราชนก จังหวัดพิษณุโลก เป็นต้น  เป็นตำนานที่กล่าวถึงการจับสัตว์  กินสัตว์ที่ต้องห้ามในบึงหนองมาบริโภคอย่างละโมบ  นับเป็นการประพฤติชั่วอย่างเห็นแก่ตัว  จึงทำให้อำนาจเหนือธรรมชาติผู้เป็นเจ้าของทรัพยากรท้องถิ่นพิโรธ และทำลายชีวิตมนุษย์และบ้านเมืองให้ล่มจมไป  ด้วยการบันดาลให้เกิดภัยพิบัติอันได้แก่ พายุฝน น้ำท่วม โคลนถล่ม ดินทลายเกิดขึ้น ทำให้คนรุ่นหลังได้รับ  การบอกเล่ากันสืบมาและมักจะใช้เป็นข้ออ้างและอธิบาย ถ้ามีปรากฏการณ์ธรรมชาติที่รุนแรงดังกล่าวเกิดขึ้นในหลายๆ พื้นที่และท้องถิ่นตำนานเกี่ยวกับอำนาจเหนือธรรมชาติจัดการกับกลุ่มคนที่ละเมิดทรัพยากรสาธารณะของสังคมท้องถิ่นดังกล่าวนี้ดำรงอยู่  ปลักอ่างทองก็เช่นเดียวกันมีสิ่งเหนือธรรมชาติคือ ทวดอ่างทองคอยดูแลรักษาสัตว์น้ำสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำและระบบนิเวศของอ่างเก็บน้ำหรือปลักอ่างทองเอาไว้อย่างดี
          ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ชุ่มน้ำ
          พื้นที่ชุ่มน้ำพรุดุก ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของปลักอ่างทอง  พรุดุกเป็นแหล่งพักน้ำจากธารน้ำคลองหิน ธารน้ำคลองจำหมี คลองตีนะ และคลองนาทวีในช่วงฤดูฝน  พรุดุกมีลักษณะคล้ายกระทะ รอบๆ พรุเป็นพื้นที่ทำนา ปลูกข้าวนาปี ในส่วนกลางของพรุมีน้ำขังตลอดทั้งและเป็นแหล่งอาหารของชุมชน ได้แก่ กุ้ง หอย ปู ปลา  เป็นต้น พื้นที่บริเวณพรุดุกเมื่อก่อนสมัยการตั้งชุมชนเป็นทุ่งเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ วัวและควาย ครั้นเมื่อหลังจากปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมาผู้คนในชุมชนก็ได้พื้นที่พรุ ทุ่ง ให้กลายเป็นที่นาปลูกข้าว   หลังจากการเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วพรุและทุ่งนาก็จะกลายเป็นทุ่งเลี้ยงสัตว์ คือ ทุ่งเลี้ยงวัวและควาย  และพื้นที่ชุ่มน้ำทุ่งหัวเมืองเป็นพื้นที่ป่ามีสายน้ำไหลผ่าน ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของพรุดุกมีเนื้อที่ประมาณ 3,000 กว่าไร่ ปัจจุบันพื้นที่ชุ่มน้ำทุ่งหัวเมืองมีเนื้อที่ประมาณ 1,560 ไร่ พื้นที่ชุ่มน้ำทุ่งหัวเมืองเป็นพื้นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงเฉพาะฤดูฝน แต่จะแห้งในฤดูแล้ง  พื้นที่โดยทั่วไปเป็นป่าจะมีความชื้นตลอดทั้งปี ผู้คนเรียกสถานที่นี้ว่า ทุ่งหัวเมือง  อันเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันจึงเรียกว่า ทุ่งมหาชนหรือที่มหาชน  และพื้นที่ชุ่มน้ำพรุหว้า ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของปลักอ่างทอง  พรุหว้าเป็นแหล่งพักน้ำและน้ำซับจากปลักอ่างทอง ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำตามธรรมชาติ  เมื่อถึงฤดูฝนน้ำในปลักอ่างทองและน้ำซับจากพื้นที่ชุ่มน้ำจะไหลลงสู่ที่พักน้ำพรุหว้า  พรุหว้าจึงเป็นพื้นที่ทำนาปลูกข้าวนาปี เมื่อเสร็จจากทำนาเกี่ยวข้าวเสร็จพื้นที่พรุก็กลายเป็นทุ่งเลี้ยงสัตว์และในส่วนกลางของพรุก็มีน้ำขังก็กลายเป็นแหล่งอาหารของชุมชนได้แก่ กุ้ง หอย ปู ปลา พืช ผัก เป็นต้น  ส่วนพื้นป่าชุ่มน้ำทางด้านทิศตะวันตกพรุหว้าเป็นสถานที่สร้างบ้านเรือนของชุมชนดังหมูใต้  และพื้นที่ทางด้านทิศเหนือและทิศตะวัน ออกเป็นพื้นป่าชุ่มน้ำมีเนื้อที่ประมาณ 200 กว่าไร่  เป็นพื้นที่ราบลุ่มน้ำท่วมขังเฉพาะในฤดูฝน แต่จะแห้งในฤดูแล้งและเป็นพื้นที่ที่ผู้คนใช้ประโยชน์ร่วมกัน  คนไทยมีความคุ้นเคยในการอยู่ร่วมกันและใช้ประโยชน์ในพื้นที่ชุ่มน้ำร่วมกันมาเป็นเวลานาน  การใช้ประโยชน์พื้นที่ชุ่มน้ำในประเทศไทย สามารถแบ่งออกเป็น  2  ลักษณะ คือ การใช้ประโยชน์จากพื้นดินหรือที่ดิน ได้แก่ การทำนา ปลูกพืชไร่ พืชสวนครัว  ปลูกไม้ประดับใช้เป็นพื้นที่เลี้ยงสัตว์หรือทุ่งเลี้ยงสัตว์  เป็นที่ตั้งโครงการพัฒนาและระบบสาธารณูปโภคต่างๆ เป็นต้น สำหรับการใช้ประโยชน์จากน้ำ ได้แก่ การใช้น้ำเพื่อการเกษตร น้ำประปา การประมงจับปลา และสัตว์น้ำ เป็นต้น
          ชุมชนท้องถิ่นรอบปลักอ่างทองได้ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ชุ่มน้ำร่วมกันเพื่อการยังชีพแบบพอเพียง ได้แก่ การหาของป่า ดักปลา ล่าสัตว์ ทำไร่ เลี้ยงสัตว์  ตัดไม้เผาถ่านใช้ในครัวเรือน ตัดไม้สร้างบ้านเรือน เป็นต้น การตั้งบ้านเรือนที่อยู่อาศัย  การใช้ประโยชน์ร่วมกันจึงทำให้เกิด ภูมิวัฒนธรรมที่เป็นของสร้างขึ้นโดยผู้คนในท้องถิ่น  เพื่อร่วมกันสร้างให้เป็นแผนภูมิหรือแผนที่แสดงพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่มีความสำคัญในการสื่อสาร คมนาคมและการอยู่ร่วมกัน โดยมีการกำหนดตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์ในภูมิจักรวาล  อันมีอำนาจเหนือธรรมชาติเป็นผู้ปกครองดูแลและเป็นเจ้าของสรรพสิ่งทั้งมวล  ซึ่งอาจกล่าวให้ทันสมัย อีกนัยหนึ่งว่าอำนาจเหนือธรรมชาติของท้องถิ่นดังกล่าวนี้ก็คือเจ้าของสมบัติท้องถิ่นอันได้แก่ ทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อมต่างๆ ในแต่ละภูมิประเทศการรับรู้และการถ่ายทอดระหว่างคนในท้องถิ่นต่างกันจากรุ่นเก่ามาสู่รุ่นใหม่นั้นก็ทำโดยผ่านการเล่าขานตำนานท้องถิ่นและร่วมกัน ประกอบพิธีกรรมขึ้น  ภูมิวัฒนธรรมไม่หยุดนิ่งมีการเปลี่ยนแปลงผ่านยุคสมัย  โดยที่ลักษณะภูมิประเทศเก่าๆ อาจหายไปลืมไปและมีสิ่งใหม่เข้ามาแทน  โดยเฉพาะการเกิดของนิเวศวัฒนธรรมหรือท้องถิ่นใหม่ๆ ขึ้น ซึ่งสังเกตได้จากการมีชื่อของสถานที่และตำนานใหม่ๆ เพิ่มขึ้นหรือปรับเปลี่ยนใหม่ เป็นต้น และท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนั้นอุดมคติและโครงสร้างที่มีมาแต่เดิมก็ยังดำรงอยู่นั่นคือความคิดและความเชื่อที่ว่า แผ่นดิน ป่าเขา แม่น้ำ หนองบึง และลำห้วยใน ภูมิประเทศที่เป็นภูมิวัฒนธรรมของคนภายใน คือ สมบัติของอำนาจเหนือธรรมชาติในจักรวาลผู้คนคือผู้อยู่อาศัยไม่ได้เจ้าของอย่างแท้จริง เช่น พรุลานควาย ใกล้น้ำสายบุรี  คนมุสลิมเชื่อว่าพื้นที่พรุทั้งหมดเป็นของพระอัลเลาะห์  ในขณะที่สังคมไทยซึ่งนับถือพระพุทธศาสนานั้นถือว่าที่ดิน ป่า เขา หนองบึง แม่น้ำ ลำห้วยเป็นของหลวงหรือของพระมหากษัตริย์จึงเรียกว่า พระเจ้าแผ่นดิน และพระมหากษัตริย์พระราชทานให้ราษฎรได้ใช้ประโยชน์ในการอยู่อาศัยและทำมาหากินเป็นหมู่คณะ เป็นตระกูล โคตรเหง้าและครอบครัว  โดยจะไม่ให้กรรมสิทธิ์ถาวรแก่ผู้ใดเลย เมื่อไม่ใช้ประโยชน์แล้วก็ต้องกลับคืนเป็นของหลวงหมด  ส่วนการให้กรรมสิทธิ์ถาวรนั้นเพิ่งเกิดขึ้นครั้งรัชกาลที่ 5 เมื่อทรงพยายามสร้างประเทศให้ทันสมัยแบบยุโรป  เช่นเดียวกันกับพื้นที่ชุ่มน้ำทางทิศตะวันออกพรุดุก หรือทุ่งหัวเมืองก็มีสิ่งเหนือธรรมชาติเป็นเจ้าของคือทวดเสือและชาวบ้านเรียกพื้นที่ชุ่มน้ำทุ่งหัวเมืองว่า ทุ่งมหาชน  อันเป็นพื้นที่ใช้ประโยชน์ร่วมกันของประชาชน  ซึ่งเป็นผืนแผ่นดินที่พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน
          ยางพาราพืชเศรษฐกิจชุมชน
          เมื่อชุมชนขยายตัวประชาชนเพิ่มจำนวนขึ้น  คนเหล่านั้นก็เข้าจับจองพื้นที่และขยายพื้นที่ในการทำมาหากิน  ด้วยการบุกเบิกพื้นที่แผ้วถางป่าปลูกข้าวทำไร่เลื่อนลอยไปพร้อมๆ กับการปลูกยางพาราพันธุ์พื้นเมืองในพื้นที่บริเวณควน  เชิงเขา และภูเขา  หลังเก็บข้าวเสร็จก็ปล่อยในยางพาราโตต่อไปโดยไม่กลับมาทำไร่ข้าวอีก  อันเป็นการจับจองพื้นที่เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของด้วยการปลูกยางพาราเอาไว้  การขยายพื้นที่ปลูกยางพาราในหมู่บ้านได้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง  เมื่อปี พ.ศ.2508 รัฐบาลสนับสนุนให้ตั้งกองทุนการทำสงเคราะห์สวนยาง สนับสนุนให้ธนาคารเกษตรและสหกรณ์หรือ ธกส. แนะนำการปลูกยางพาราพันธุ์ดีและแนะนำการเลี้ยงสัตว์ ตลอดจนสนับสนุนเงินทุนให้กู้ยืมจากธนาคาร  ภายใต้การเปลี่ยนนโยบายส่งเสริมการปลูกยางพาราของรัฐบาล  เนื่องจากตั้งแต่ปี พ.ศ. 2444  พระรัษฎานุประดิษฐ์ (คอซิมบี้ ณ ระนอง) ได้นำยางพาราเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย  การปลูกยางพาราส่วนใหญ่ดำเนินการโดยชาวจีน  เพราะมีวัฒนธรรมระดมทุนแบบหุ้นส่วนหรือ "กงสี" ซึ่งมีความจำเป็นสำหรับการลงทุนในการปลูกยางพาราและชาวจีนได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลที่ต้องการให้ชาวจีนเป็นเครื่องมือสกัดกั้นอิทธิพลของทุนอังกฤษไม่ให้ขยายตัวบุกเบิกที่ดินสองข้างทางรถไฟสายใต้  โดยสนับสนุนให้นายทุนชาวจีนแคะที่เคยเป็นกุลีสร้างทางรถไฟสายใต้และไม่ประสงค์จะเดินทางกลับประเทศบุกเบิกที่ดินหลายหมื่นไร่  รวมทั้งอนุญาตให้ลูกจ้างชาวจีนเหล่านี้ครอบครองสวนยาง  นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2463 รัฐบาลอนุญาตให้ชาวจีนที่ไม่อ้างตัวเป็นคนในบังคับอังกฤษสามารถจับจองที่ดินทำสวนยางพาราได้ไม่เกินคนละ 100 ไร่  จึงส่งผลให้ชาวจีนที่เคยทำสวนยางขนาดเล็กหรือที่เคยเป็นลูกจ้างสวนยางในหัวเมืองมลายูได้อพยพเข้ามาจับจองที่ดินเพื่อปลูกยางพาราตามสองฝากเส้นทางรถไฟสายใต้ในหลายจังหวัด เช่น ยะลา นราธิวาส ปัตตานี  สงขลา นครศรีธรรมราช เป็นต้น  แต่รัฐบาลไม่ส่งเสริมสนับสนุนให้คนไทยปลูกยางพารา  ดังการประกาศใช้พระราชบัญญัติควบคุมการยางปี พ.ศ. 2477 ควบคุมการขยายพื้นที่ปลูกยางพารา  
          อย่างไรก็ดี เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว  ความต้องการยางพาราในตลาดโลกเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เพิ่มขึ้น  ส่งผลให้ราคายางพาราสูงขึ้น  รัฐบาลจึงเริ่มส่งเสริมสนับสนุนให้คนไทยในท้องถิ่นปลูกยางพาราด้วยการสร้างแปลงเพาะขยายพันธุ์ยาง  สวนทดลองการยาง และสถานีการยางขึ้นในเกือบทุกจังหวัดภาคใต้ เช่น  สถานีการยางอำเภอฉวาง  นครศรีธรรมราช  สถานีการยางคอหงส์  อำเภอหาดใหญ่  สงขลา  แปลงเพาะพันธุ์ยาง อำเภอพุนพิน  สุราษฎร์ธานี  แปลงเพาะพันธุ์ยางอำเภอทุ่งสง  นครศรีธรรมราช  เป็นต้น  โดยในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2493-2498 ได้มีการดำเนินการก่อตั้งหน่วยงานต่างๆ  ดังกล่าวประมาณ 20 แห่ง หน่วยงานเหล่านี้ได้ประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ  รวมทั้งเจ้าของสวนยางเอกชนที่ดำเนินการปลูก  บำรุงรักษา และผลิตถูกต้องตาม "หลักวิชาการ" ให้เปิดเป็นสวนตัวอย่างแก่เกษตรทั่วไป เช่น สวนของวิทยาลัยเกษตรกรรมไสใหญ่อำเภอทุ่งสง  นครศรีธรรมราช  แหล่งสาธิตและถ่ายทอดวิธีการปลูกและทำยางพาราอย่างถูกวิธีแก่เกษตรกร  สถานีทดลองและขยายพันธุ์ยางพาราเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญให้เกิดการขยายพื้นที่ปลูกยางพาราในเขตภาคใต้อย่างกว้างขวาง
          ในช่วงปี พ.ศ. 2500-2501 คณะสำรวจเศรษฐกิจของธนาคารโลกได้เสนอให้รัฐบาลอาศัยการพัฒนาอาชีพการทำสวนยางเป็นเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ  โดยให้มีแผนงานปรับปรุงพันธุ์ยางและปรับปรุงการดูแลรักษาให้ถูกต้อง  จัดตั้งนิคมชาวสวนยางและจัดตั้งกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางขึ้น  เพราะว่าในช่วงเวลานี้ยางพาราซึ่งส่วนใหญ่เป็นพันธุ์พื้นเมืองเริ่มให้ผลผลิตน้อยลงเพราะมีอายุมากขึ้น  รัฐบาลประกาศใช้พระราชบัญญัติกองทุน สงเคราะห์การทำสวนยาง พ.ศ. 2503 ซึ่งกำหนด  ให้เรียกเก็บเงินสงเคราะห์จากยางที่ส่งออกนอกประเทศแล้วจัดตั้งกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางขึ้น  เพื่อดำเนินการสงเคราะห์ให้เจ้าของสวนยางปลูกแทน  โดยรัฐบาลส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกยางพันธุ์ดีแทนยางพื้นเมืองได้แก่ RRIM 623, 605 และ TJIR1 ต่อมาได้เปลี่ยนมาเป็นพันธุ์  RRIM 600, PB5/16 และ G.T.1 เหล่านี้  จึงส่งผลให้การขยายพื้นที่ปลูกยางพาราโดยเฉพาะพันธุ์ส่งเสริมขยายตัวอย่างรวดเร็ว  นอกจากยางพาราพันธุ์จะส่งเสริมให้ผลผลิตน้ำยางดีกว่าแล้ว ผู้รับการ "สงเคราะห์" ยังได้รับสนับสนุนเงินทุนและปัจจัยการผลิตหลายประการด้วยกัน เช่น ค่าพันธุ์ ยางพารา  ปุ๋ยเคมี  ยากำจัดวัชพืชและการกรีดยางตามวิธีที่ถูกต้องรวมไร่ละ 5,000 บาท  ชาวสวนยางพาราภาคใต้ส่วนใหญ่จึงมักเข้ารับการ "สงเคราะห์" รวมทั้งเป็นสมาชิกกลุ่มพัฒนาอาชีพการทำสวนยางที่สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางสนับสนุนและเป็นสมาชิกเพื่อการขายยางราคาแทรกแซงตามการดำเนินงานหน่วยงานของรัฐ
          การขยายพื้นที่ปลูกยางพาราในพื้นที่ชุ่มน้ำรอบปลักอ่างทอง ได้เกิดขึ้นควบคู่ไปกับนโยบายส่งเสริมการปลูกยางพาราของรัฐบาล  จากการขยายพื้นที่เพาะปลูกยางพาราเชิงเดี่ยว  สมาชิกในครอบครัวรุ่นหลังๆ จำนวนมากได้หันมาปลูกยางพารากันอย่างเดียว  โดยไม่ได้ทำสวนผลไม้หรือกิจกรรมการเกษตรอื่นๆ ควบคู่ไปด้วยเหมือนคนรุ่นพ่อแม่  ดังกรณีชุมชนในพื้นที่ชุ่มน้ำปลักอ่างทอง  ซึ่งสมาชิกในครอบครัวรุ่นลูกมักทำสวนยางพาราเพียงอย่างเดียว  บางคนก็ได้บุกรุกพื้นที่ป่าชุ่มน้ำทุ่งหัวเมืองอันเป็นพื้นที่ป่าชุ่มน้ำที่เป็นทุ่งมหาชนเพื่อปลูกยางพารา

การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ชุ่มน้ำปลักอ่างทอง
          ก. การเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยภายใน
          หลังจากปี พ.ศ. 2528 เป็นต้นมาการปลูกข้าวในพื้นที่ชุ่มน้ำปลักอ่างทองได้ลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเลิกทำนาไปหมดในทุกพื้นที่  ในปัจจุบันไม่มีครอบครัวใดปลูกข้าวเพื่อขายหรือเพื่อบริโภค ที่นาบางแปลงที่น้ำท่วมไม่ถึงก็ถูกปรับเปลี่ยนเป็นสวนยางพาราและที่นาส่วนใหญ่ถูกปล่อยทิ้งร้าง เพราะว่าประชาชนได้เลิกเลี้ยงวัวและควาย  สาเหตุของการลดและเลิกปลูกข้าวนามีสาเหตุ  2 ประการ คือ
          ประการแรก การประสบปัญหาขาดทุนหรือยิ่งทำก็ยิ่งขาดทุน ไม่คุ้มเงินค่าปุ๋ยและนก หนู คอยทำลากินข้าวอีกจำนวนมากและคนรุ่นใหม่ไม่นิยมทำนา  ตลอดจนการส่งเสริมการทำนาแผนใหม่ของรัฐที่มีข้าวมาเป็นระลอก ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงอีกด้วย
          ประการที่สอง  การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ คือ การบุกเบิกพื้นที่ป่าหรือพื้นที่ต้นน้ำเพื่อปลูกยางพารา  รวมทั้งการใช้ประโยชน์ในลักษณะต่างๆ ด้วยการปรับเปลี่ยนพื้นที่ป่าเขานาควน  เขาคลองหิน    เขาจำหมีและเทือกเขาสันกาลาคีรีให้กลายเป็นสวนยางพาราแบบป่าเชิงเดี่ยว  จึงสร้างความเสียหายให้แก่แหล่งน้ำซับหรือแหล่งน้ำใต้ตามธรรมชาติอย่างมาก  ในอดีตแหล่งน้ำซับเหล่านี้เป็นต้นกำเนิดสายน้ำเล็กๆ ที่ไหลมารวมในธารน้ำที่เป็นคลองขนาดเล็กไหลลงมาในพื้นที่พรุ ทุ่งนาและลงสู่อ่างเก็บน้ำปลักอ่างทองเกือบตลอดทั้งปี  แต่ในปัจจุบันนี้จะมีน้ำเฉพาะช่วงหน้าฝนเท่านั้น  ขณะที่บางแหล่งบ่อซับน้ำได้เหือดแห้งและลำคลองถูกทับถม  ต้นไม้ริมคลองถูกตัดจนหมด  การใช้สารเคมีก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำปลาในลำคลอง  หนองน้ำเป็นโรคและตายไปเป็นจำนวนมาก   
          การลดลงและการเลิกปลูกข้าวในพื้นที่ชุ่มน้ำปลักอ่างทอง  ซึ่งใช้น้ำฝนในการทำนาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติอันได้แก่  ฝนไม่ตกตามฤดูกาล  ในช่วงฤดูฝนน้ำท่วมข้าวในนาเสียหาย พื้นที่ป่าต้นน้ำถูกถางเพื่อปลูกยางพาราซึ่งเป็นพืชเชิงเดี่ยว แหล่งน้ำซับเหือดแห้ง ศัตรูข้าวมีมาก ข้าวราคาตกต่ำและขาดทุน ประกอบกับคนรุ่นใหม่ไม่นิยมทำนา และยางพาราก็เป็นพืชเศรษฐกิจที่ทำรายได้ให้แก่ครอบครัวมากกว่าข้าว ทุกครัวเรือนจึงเปลี่ยนจากอาชีพทำนามาปลูกยางพาราและพื้นที่ทำนาที่น้ำท่วมไม่ถึงก็ปลูกยางพารา  ส่วนพื้นที่นาที่ถนนสายหลักตัดผ่านก็ถมที่เพื่อสร้างบ้านเรือนและร้านค้า
          พื้นที่ชุ่มน้ำทางทิศตะวันตกพรุดุก  ผู้คนจับจองสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัย  ปลูกไม้ผลและปลูกยางพารา  พื้นที่ชุ่มน้ำทางทิศตะวันออกพรุดุกเรียกว่าทุ่งหัวเมือง  ผู้คนได้บุกรุกจับจองเป็นเจ้าของทั้งหมด ด้วยการถางป่าทำไร่ข้าว ปลูกยางพารา  สัตว์ป่าถูกล่า ในปี พ.ศ.2545 ผู้นำชุมชนได้ขอคืนพื้นที่บางส่วนจากผู้จับจองพื้นที่ชุ่มน้ำทุ่งหัวเมืองมาตั้งเป็นกลุ่มโรงรมน้ำยางพาราประมาณ 100 ไร่ ต่อมาในปี พ.ศ.2526 ชุมชนขอคืนพื้นที่เพื่อตั้งเป็นกลุ่มเลี้ยงโคเนื้อหรือตั้งเป็นฟาร์มโคเนื้อและตั้งเป็นฟาร์มแพะ  ซึ่งทางรัฐได้สนับสนุนพันธุ์โคเนื้อ  โดยการเปิดโอกาสให้ประชาชนในชุมชน  ถือหุ้นในการลงทุน  เมื่อสิ้นปีก็จะแบ่งผลกำไรแก่ผู้ถือหุ้น ต่อมาประชาชนและคณะกรรมการได้มีมติประชุมให้แบ่งโคเนื้อและพื้นที่ชุ่มน้ำให้แก่กลุ่มผู้เลี้ยงโคและได้ยกเลิกการเลี้ยงโคเนื้อ  พื้นที่ชุ่มน้ำทุ่งหัวเมืองก็ได้รกร้าง  ต่อมาในปี พ.ศ. 2552  ภาครัฐได้ขอใช้พื้นที่ทั้งหมดประมาณ  1,560 ไร่  เพื่อตั้งเป็นค่ายทหาร "กองพันพัฒนาที่ 42" ประมาณ 500 กว่าไร่ และองค์การบริหารส่วนตำบลท่าประดู่หรือ อบต. ประมาณ 200 กว่าไร่ การใช้ประโยชน์ในพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างหนักได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศของพื้นที่ชุ่มน้ำ  ซึ่งพื้นที่ชุ่มน้ำธรรมชาติที่สำคัญของประเทศไทยส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก มีการปรับปรุงเพื่อใช้ประโยชน์ต่างๆ พื้นที่ชุ่มน้ำทุ่งหัวเมือง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นสมบัติของทวดเสือหรืออำนาจเหนือธรรมชาติที่ได้รับรู้และถ่ายทอดระหว่างคนในท้องถิ่นต่างกันจากรุ่นเก่ามาสู่รุ่นใหม่นั้นก็ทำโดยผ่านการเล่าขานตำนานและการใช้ร่วมกันของชุมชน  ซึ่งชุมชนมีความคิดและความเชื่อว่าแผ่นดิน  ป่าเขา แม่น้ำ หนองบึงและลำห้วยคือ สมบัติของอำนาจเหนือธรรมชาติ  ดังนั้น พื้นที่ชุ่มน้ำทุ่งหัวเมืองเป็นที่สาธารณะประชาชนเรียกว่า ทุ่งมหาชน  ซึ่งก็ถือว่าเป็นของหลวงหรือของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเรียกว่า"พระเจ้าแผ่นดิน" ปัจจุบันพื้นที่ชุ่มน้ำทุ่งหัวเมืองก็ได้กลับมาเป็นของหลวง 
          การเปลี่ยนแปลงของพรุหรือแหล่งพักน้ำตามธรรมชาติคือพรุดุกและพรุหว้า   ในอดีตเมื่อประมาณ  30 ปีที่ผ่านมาพรุทั้งสองแห่งนี้เป็นพื้นที่ปลูกข้าวรอบๆ พรุ กลางพรุมีน้ำลึกไม่สามารถปลูกข้าวได้จึงเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลานานาชนิด  เมื่อสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติเปลี่ยนแปลงประชาชนไม่ทำนาและไม่เลี้ยงสัตว์ พรุจึงกลายเป็นพรุที่รกร้างประชาชนไม่ได้ใช้ประโยชน์จากพรุอีกเลย ส่วนปลักอ่างทองหรืออ่างเก็บน้ำธรรมชาติที่เป็นศูนย์กลางชุมชนยังคงความอุดมสมบูรณ์ด้วยระบบนิเวศและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ  สัตว์น้ำจืดได้แก่  กุ้ง  หอย  ปู  ปลา  เป็นต้น  ซึ่งเป็นแหล่งน้ำจืดและแหล่งอาหารของชุมชนที่มีผีน้ำหรือทวดอ่างทองคอยเฝ้าดูแลรักษาให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันมาช้านาน 
          ข. การเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยภายนอก
          พื้นที่ชุ่มน้ำปลักอ่างทองเป็นพื้นที่ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันมาเป็นเวลานาน (ศรีศักร  วัลลิโภดม,  2551 : 36-37)  ครั้นเมื่อถึงสมัยรัชกาลที่  5  พระองค์ทรงพยายามสร้างประเทศให้ทันสมัยแบบยุโรปและทรงนำเอาแนวคิดในเรื่องการปกครอง  การบริหารมาปฏิรูปการปกครองแต่เดิมของบ้านเมือง  ซึ่งยุคนี้ที่มีการสร้างประวัติศาสตร์ชาติหรือประวัติศาสตร์รัฐรวมศูนย์แบบฝรั่ง  จึงให้กรรมสิทธิ์ถาวรในที่ดินทำกินแก่ประชาชน พื้นที่พรุดุก พรุหว้าและพื้นที่ชุ่มน้ำรอบๆ พรุทั้งสองก็ได้ออกกรรมสิทธิ์แก่ประชาชนเช่นเดียวกัน  ไม่ยกเว้นแม้แต่ในส่วนกลางพรุที่มีน้ำลึก ส่วนพื้นที่ชุ่มน้ำทุ่งหัวเมืองที่เป็นทุ่งมหาชนในพื้นที่รอบนอกและพื้นที่เนิน  ควนและภูเขาประชาชนก็ได้รับกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็น ส.ค. 1, น.ส. 3 และโฉนดที่ดินตามลำดับ
          เมื่อปี พ.ศ. 2537 ผู้นำชุมชนระดับกำนันตำบลท่าประดู่ได้นำโครงการของกรมชลประธานเข้ามาเพื่อขุดคลองส่งน้ำจาก พรุดุกมาสู่ปลักอ่างทองและขุดลอกปลักอ่างทอง  เพื่อสร้างเป็นอ่างเก็บน้ำและมีประตูระบายน้ำแบบชลประทานเพื่อป้องกันน้ำท่วมและระบายน้ำลงสู่ลำคลองโดยไม่ผ่านพรุหว้าที่เป็นทุ่งนา  ในการขุดลอกปลักอ่างทองครั้งนี้ได้ขุดคูระบายน้ำลงสู่ปลักเสือด้วยการขุดคูคลองสายใหม่ซึ่งไม่ผ่านพรุหว้า ระบายน้ำลงคลองที่อยู่ทางด้านทิศเหนือพรุลงสู่คลองและออกสู่ทะเล  ระบายน้ำจากปลักอ่างทองจนแห้งให้คนลงไปจับสัตว์น้ำมีกุ้ง หอย ปู ปลา เป็นต้น  จนสัตว์น้ำจืดที่เคยอาศัยอยู่เดิมได้สูญพันธุ์ไปจากปลักอ่างทอง  กรมชลประทานได้ขุดต้นสาคูและต้นไม้อื่นๆ ที่อยู่รอบปลักอ่างทองทั้งหมด  โดยการขุดลอกให้ปลักอ่างทองลึกลงไปอีก นำเอาดินขึ้นมาทำเป็นคันดินสูงรอบปลักอ่างทองและปลูกต้นไม้บนคันดินรอบปลักอ่างทองใหม่มีการสร้างประตูระบายน้ำแบบของกรมชลประทานและได้ขุดลอกคูส่งน้ำจากพรุดุกมาลงสู่ปลักอ่างทอง  เมื่อกรมชลประทานได้ขุดลอกปลักอ่างทองและคูคลองเสร็จ  กำนันตำบลท่าประดู่ได้ซื้อพันธุ์ปลาน้ำจืด เช่น ปลายี่สก และปลาตะเพียน มาปล่อยไว้ในอ่างเก็บน้ำปลักอ่างทอง  หนอง บึง ธรรมชาติ  หลายส่วนตื้นเขิน ถูกบุกรุกยึดครองเป็นพื้นที่เพื่อทำการเกษตรและกิจกรรมอื่นๆ แหล่งน้ำที่สำคัญถูกบูรณปรับปรุง  เพื่อให้เป็นแหล่งน้ำอุปโภคบริโภค การชลประทาน  การท่องเที่ยว  แหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำและแหล่งทำการประมง  การคุกคามพื้นที่ชุ่มน้ำธรรมชาติส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชุ่มน้ำ  จึงทำให้เกิดการตื้นเขินและลดลงของน้ำในแหล่งน้ำ  จำนวนสัตว์น้ำ  สัตว์ป่าและนกลดลง  ขนาดของพื้นที่ชุ่มน้ำลดลง  พืชพันธุ์ธรรมชาติถูกบุกรุกทำลาย  น้ำสกปรกเหม็นและขุ่น การพัฒนาเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดสภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติและมีแผนพัฒนาเป็นระยะๆ ไป จนกระทั่งปัจจุบันเป็นการพัฒนาแบบโลกวิสัย (Secularization) จากข้างบนลงล่างหรือจากข้างนอกมาข้างใน  จนไร้มิติทางจิตวิญญาณในด้านความเชื่อทางศาสนา  อันเป็นสถาบันที่จรรโลงความเป็นมนุษย์  การพัฒนาเศรษฐกิจตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนรัตน์  เป็นการพัฒนาเพียงเศรษฐกิจและการเมืองที่แลไม่เห็นคนในสังคม  โดยเฉพาะคนภายในที่ถูกเปลี่ยนแปลง  เพราะความคิดเห็นนานาประการในการเปลี่ยนแปลงล้วนมาจากคนนอกจากรัฐบาลที่แลเห็นคนในเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา  เป็นการพัฒนาที่เอาความคิดเห็น โลกทัศน์ ค่านิยม และอุดมการณ์ของคนนอกที่เป็นคนในสังคมเมืองมาตัดสินและกำหนดแนวทางการดำเนินชีวิตของคนในสังคมชนบทอย่างขาดความเข้าใจรากเหง้าทางสังคมวัฒนธรรมของคนในสังคมชนบท  จึงเกิดภาวะความล้าหลังทางวัฒนธรรมคือการปรับตัวเข้ากับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมที่ไม่ทัดเทียมกันของชาวบ้านและผู้คน  ผู้ที่มีความรู้สึกนึกคิดแบบเดิมก็กลายเป็นผู้ด้อยโอกาส  ในขณะที่ผู้คนมีความคิดและมีความพร้อมที่จะเป็นผู้ประกอบการคือผู้ได้รับโอกาสได้เปรียบ  ซึ่งมีทั้งคนในท้องถิ่นและคนที่มาจากนอกท้องถิ่น เป็นผู้ประกอบการค้าการลงทุน เช่น การรับซื้อน้ำยางพารา ร้านขายของชำ เป็นต้น  หลังจากการขุดลอกคูคลองและปลักอ่างทองแล้วในฤดูฝนน้ำจะท่วมและระบายน้ำได้เร็วกว่า ในฤดูแล้งน้ำจะขุ่นออกสีแดงตลอดทั้งปี  ซึ่งส่วนหนึ่งน้ำเสียจากโรงงานแปรรูปไม้ยางพารา น้ำสกปรกจากการเลี้ยงสุกรและผู้คนในชุมชนบางคนได้นำขยะจากครัวเรือนมาทิ้งตามลำคลองในพื้นที่ชุ่มน้ำบางจุดชุมชนจึงได้สูญเสียแหล่งอาหารโปรตีน คือ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำและสัตว์น้ำได้แก่ กุ้ง หอย ปู ปลา พืชผักริมน้ำและพืชผักในน้ำที่เคยอุดมสมบูรณ์มาในอดีต 
 
ทวดกับความเชื่อของชุมชนปลักอ่างทอง
          พื้นที่ชุ่มน้ำปลักอ่างทองมีชุมชนตั้งอยู่รอบปลักอ่างทองมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง  ปลักอ่างทองมีความสัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานบ้านเมืองของผู้คนในท้องถิ่น  จนเป็นที่รู้จักร่วมกันและมีการกำหนดชื่อปลักอ่างทองให้เป็นที่รู้จักร่วมกันของชุมชนในลักษณะเป็นแผนภูมิหรือแผนที่เพื่อสื่อสารถึงกัน  โดยการสร้างตำนานทวดอ่างทองขึ้นมาอธิบายความสำคัญทางประวัติศาสตร์  สังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรม ตำนานทวดอ่างทอง มีเรื่องเล่าเป็นตำนานและเล่าต่อๆ กันมาว่าเศรษฐีสองสามีภรรยามาจากเมืองไทรบุรีทราบข่าวว่าเมืองนครศรีธรรมราชกำลังบูรณะซ่อมแซมพระบรมธาตุเจดีย์  จึงได้นำทองคำและสิ่งของมีค่าต่างๆ ไปบูชาพระธาตุ  เมื่อเดินทางมาถึงบ้านดังหมูเหนือ  สองสามีภรรยาก็ถูกโจรปล้น  จึงได้นำทองคำและสิ่งของมีค่ามาซ่อนไว้ในปลักอ่างทองทางด้านทิศใต้  เศรษฐีสองสามีภรรยาก็ได้เสียชีวิตลงที่นั่น  กาลเวลาผ่านมาหลายร้อยปีก็มีเรื่องเล่าต่อกันว่าในทุกคืนวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงในบริเวณที่เศรษฐีสองสามีภรรยานำทองคำและสิ่งมีค่ามาซ่อนและเสียชีวิตลง  ชาวบ้านจะเห็นถาดทองคำลอยอยู่เสมอน้ำ และในเวลาต่อมาชาวบ้านเห็นเป็นจระเข้สีทองอยู่ในบริเวณนั้น  ผู้คนมีความเชื่อกันว่าทวดอ่างทองหรือผีน้ำน่าจะเป็นจระเข้สีทองที่เฝ้าทรัพย์สมบัติของเศรษฐีจากเมืองไทรบุรี  จากความเชื่อเรื่องทวดอ่างทองจึงทำให้ชาวบ้านไม่กล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือจับปลาในบริเวณนี้
          เส้นทางเข้าสู่พื้นที่ชุ่มน้ำปลักอ่างทอง  ซึ่งเป็นเส้นทางโบราณจากอำเภอนาทวีไปสู่เมืองไทรบุรีหรือรัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย เส้นทางผ่านเข้าสู่ชุมชนปลักอ่างทอง บ้านคูโตนบริเวณนี้เรียกว่า “เกาะทวด”  ซึ่งมีทวดโต๊ะลุกุ่ย เป็นทวดเสือ และทวดแดงเป็นทวดงู ซึ่งเป็นเส้นเขตแดนทางวัฒนธรรมระหว่างพุทธกับมุสลิม อันเป็นสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายการอยู่ร่วมกันทางวัฒนธรรม สังคม เศรษฐกิจและการเมือง ตัวอย่างเช่นการเรียกเทือกเขาที่ราบสูงโคราชออกจากที่ราบลุ่มทะเลสาบเขมรในประเทศกัมพูชา พนมดงรักหรือพนมดงเร็ก เป็นต้น เป็นที่ซึ่งคนทั้งภายในท้องถิ่นและภายนอกในปัจจุบันรับรู้ร่วมกันในลักษณะที่เป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา เช่นเดียวกับทวดโต๊ะลุกุ่ย และทวดนายกอง มีลักษณะเป็นเดินดินสูงตั้งอยู่ริมถนนสามแยกปากทางเข้าสู่ชุมชนบ้านปลักอ่างทอง มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่าบริเวณเนินดินเป็นที่ฝังศพของนายกองทหารหรือนายกองช้างในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง  ซึ่งเป็นเส้นทางผ่านเข้าไปสู่พื้นที่ชุ่มน้ำทุ่งหัวเมือง  ในอดีตคณะหนังตะลุงหรือคณะมโนราห์ เมื่อเดินทางผ่านถนนสายนาทวีไทรบุรีหรือทุ่งหัวเมือง  ผ่านทวดนายกองจะต้องแสดงหนังตะลุงหรือมโนราห์ให้ทวดเสียก่อนถึงจะผ่านไปได้    
          ทุ่งหัวเมืองเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกพรุดุก พื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งของกองทหารญี่ปุ่นและกองทหารไทยในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 3,000 กว่าไร่ แต่ปัจจุบันเหลือประมาณ 1,560 กว่าไร่ ในพื้นที่ทุ่งหัวเมือง มีทวดเสือคอยดูแลรักษาพื้นที่ป่า สัตว์ป่าและปลาน้ำจืดในบริเวณนี้  ส่วนพรุดุกมีทวดไทร ทวดไทรอยู่บริเวณพื้นที่ทางด้านทิศใต้ของพรุดุกในส่วนที่ลึกที่สุดของพรุมีต้นไทรใหญ่ ชาวบ้านมีความเชื่อว่าเป็นที่สถิตของทวดต้นไทร และทวดตีนะอยู่ในคลองส่งน้ำจากบ้านป๋อง บ้านหว้าหลัง บ้านหัวควน บ้านป่ายาง  ซึ่งเป็นคลองที่มีน้ำลึกและมีน้ำขังตลอดทั้งปี  จึงเป็นแหล่งขยายพันธุ์สัตว์น้ำจืดได้แก่ กุ้ง หอย ปู ปลา ตะพาบน้ำ เต่า เป็นต้น ชาวบ้านมีความเชื่อว่าทวดตีนะเป็นจระเข้น้ำจืดสีเงินที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้มานาน และเชื่อว่าทวดตีนะค่อยช่วยดูแลรักษาลำน้ำและปลาน้ำจืด  ทวดเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในความเชื่อของชาวไทยถิ่นใต้และคนในรัฐทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซียที่เรียกตนเองว่า “ไทยสยาม” ดังมีความเชื่อร่วมกันว่าทวดเป็นดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย บรรพชนหรือผู้มีบุญวาสนาที่ล่วงลับดับสูญไปแล้วและรวมถึงเทวดากึ่งสัตว์ ประเภทพญาสัตว์  ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีลักษณะพิเศษที่สง่างามและน่าย่ำเกรงกว่าบรรดาสัตว์สามัญโดยทั่วไป  โดยมีความเชื่อว่าหากมีการเซ่นสรวงบูชาแก่ทวดแล้วจะก่อให้เกิดความรุ่งเรืองและจะได้รับความคุ้มครองตาม แต่ถ้าหากมีการลบหลู่ดูหมิ่นก็จะได้รับโทษ ผลเสีย รวมถึงความวิบัติต่อมาในไม่ช้า
          ความเชื่อในเรื่องทวดและการนับถือทวด เป็นความเชื่อพื้นฐานในท้องถิ่นใต้และรัฐตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย ซึ่งสามารถแบ่งทวดออกได้ 4 ประเภท คือ ทวดในรูปคน ทวดในรูปสัตว์ ทวดในรูปต้นไม้ และทวดไม่มีรูป  ส่วนคติความเชื่อที่เกี่ยวกับทวดแบ่งออกเป็น 5 ด้าน คือ ด้านโชคลาภ ด้านโรคภัยไข้เจ็บ ด้านคุ่มครองปลอดภัย ด้านแคล้วคลาด และด้านคงกระพันมหาอุด ความเชื่อเกี่ยวกับทวดที่ผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวบ้านในด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม  ดังนั้น ทรัพยากรธรรมธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่างๆ  ในพื้นที่ชุ่มน้ำปลักอ่างทอง ผีบรรพบุรุษหรือทวดหรืออำนาจเหนือธรรมชาติของท้องถิ่นดังกล่าวนี้ก็คือ เจ้าของสมบัติท้องถิ่น ได้แก่ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ในแต่ละภูมิประเทศนั้น  การรับรู้และการถ่ายทอดระหว่างคนในท้องถิ่นต่างกันจากคนรุ่นเก่ามาสู่คนรุ่นใหม่  โดยผ่านการเล่าขานตำนานและร่วมกันประกอบพิธีกรรมบวงสรวงเซ่นไหว้  เพื่อความเป็นสิริมงคลของผู้คนในชุมชน

          เมื่อได้เกิดชุมชนขึ้นหลายชุมชนในพื้นที่ชุ่มน้ำปลักอ่างทองและมีคนอพยพเข้ามาตั้งบ้านเรือนมากขึ้น วัดและพระสงฆ์ไม่มีในชุมชนนี้ แต่ก็จะมีวัดและพระสงฆ์ในชุมชนห่างไกล เช่น ชุมชนนาทวี ชุมชนปลักหนู เป็นต้น ในปี พ.ศ. 2418 ได้มีพระสงฆ์ที่ได้รับการอุปสมบทมาจากชุมชนอื่นได้เข้ามาอยู่ในชุมชนนี้ชื่อว่า พระเจ๊ะเหมาะ พระสงฆ์ ผู้นำชุมชนและผู้คนในพื้นที่ชุ่มน้ำปลักอ่างทองได้เลือกสถานที่เป็นที่ตั้งวัด  โดยเลือกเอาสถานที่ที่ไม่ห่างไกลจากศูนย์กลางชุมชนมากนักและน้ำไม่ท่วมในฤดูฝน จึงได้เลือกเอาสถานที่เป็นเนินที่สูงกว่าพื้นที่ทำนาไม่มากนัก พื้นที่นี้ตั้งอยู่ระหว่างคลองนาทวีกับปลักอ่างทองมีถนนสายนาทวีด่านประเทศมาเลเซียตัดผ่านระหว่างวัดกับปลักอ่างทอง การสร้างวัดในพื้นที่บริเวณต้นประดู่ที่มีอายุร้อยกว่าปีจำนวนหลายต้น  จึงได้นำเอาชื่อต้นไม้ประดู่มาเป็นชื่อวัดเรียกว่า วัดท่าโด หรือวัดท่าประดู่ ตามชื่อบ้านที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของวัด การสร้างวัดท่าประดู่ขึ้นมาเพื่อให้เป็นศูนย์กลางของชุมชน อันเป็นที่จำพรรษาของพระภิกษุสามเณรและเพื่อให้เป็นสถานที่บำเพ็ญบุญของผู้คนในชุมชนอีกด้วย เพราะว่าในอดีตผู้คนในชุมชนนี้ได้นับถือทวดหรือผีบรรพบุรุษ ต่อมาความเชื่อแบบพราหมณ์และพุทธศาสนาเข้ามาก็นับถือปนกันไป แม้ว่าพื้นที่ชุ่มน้ำปลักอ่างทองจะมีวัดท่าประดู่เป็นศูนย์กลางของชุมชนและความเชื่อก็ตาม  แต่ผู้คนในชุมชนก็ยังนับถือทวด ผีบรรพชน ดังเช่นประเพณีสารทเดือนสิบที่ผู้คนได้ทำขนมสารทในท้องถิ่นนำไปบวงสรวงเซ่นไหว้บรรพชนและทวดตามสถานที่ต่างๆ ที่มีให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน 

สรุป
          พื้นที่ชุ่มน้ำปลักอ่างทอง ตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ที่ 1,2 และ 3 ตำบลท่าประดู่ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา พื้นที่ชุ่มน้ำนี้มีพื้นกว้าง ผู้คนได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัยและใช้ประโยชน์ร่วมกันมาเป็นเวลานาน ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ชุ่มน้ำพรุดุก พรุหว้า และทุ่งหัวเมือง  โดยมีปลักอ่างทองเป็นศูนย์กลางของชุมชน  ด้วยความอุดมสมบูรณ์ดังกล่าว จึงทำให้ผู้คนอพยพเข้ามาตั้งบ้านเรือนที่อยู่อาศัยมากขึ้นและใช้ทรัพยากรร่วมกัน ซึ่งผู้คนในท้องถิ่นเดิมมีความเชื่อว่าพรุดุก พรุหว้า พื้นที่ชุ่มน้ำทุ่งหัวเมือง และปลักอ่างทอง มีสิ่งเหนือธรรมชาติหรือทวดหรือผีบรรพชนที่คอยดูแลรักษา โดยเฉพาะพื้นที่ชุ่มน้ำทุ่งหัวเมืองผู้คนในท้องถิ่นเรียกว่า ทุ่งมหาชน ผู้คนมีความเชื่อว่าเป็นของหลวงหรือของพระเจ้าแผ่นดิน  ซึ่งพระองค์ทรงพระราชทานให้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน  เมื่อไม่ใช้ประโยชน์แล้วก็กลับมาเป็นของหลวงทั้งหมด
          การเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ชุ่มน้ำปลักอ่างทองมี 2 ประการ คือ การเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยภายในและการเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยภายนอก  ปัจจัยภายในเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ อันได้แก่ ฝนไม่ตกตามฤดูการ แห้งแล้ง น้ำท่วม ชาวนาเลิกทำนา พื้นที่ชุ่มน้ำถูกบุกรุกจับจองเป็นเจ้าของและปลูกพืชเศรษฐกิจคือยางพารา และปัจจัยภายนอก รัฐให้กรรมสิทธิ์แก่ประชาชนเพื่อเก็บภาษี ได้แก่ ส.ค.1 น.ส. 3 และโฉนดที่ดิน ในพื้นที่พรุหว้า พรุดุก  พื้นที่ชุ่มน้ำรอบพรุหว้า และพื้นที่ชุ่มน้ำทุ่งหัวเมืองรอบนอก พื้นที่ชุ่มน้ำทุ่งหัวเมืองที่ผู้คนเคยใช้ประโยชน์ร่วมกันมานาน  รัฐได้ขอคืนพื้นที่ทั้งหมด  เพื่อใช้เป็นสถานที่ทางราชการ เช่น ตั้งเป็นค่ายทหาร ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน และองค์การบริหารส่วนตำบลท่าประดู่ เป็นต้น ส่วนปลักอ่างทองกรมชลประทานได้ทำการชุดลอกเพื่อสร้างประตูระบายน้ำป้องกันน้ำท่วม จึงได้ทำให้ระบบนิเวศของปลักอ่างทอง ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำตามธรรมชาติได้สูญเสียระบบนิเวศและน้ำเสียอีกด้วย  ดังนั้น  การเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติและการพัฒนาจึงทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำ พรุ และปลักอ่างทอง ได้สูญสิ้นพื้นที่และความอุดมสมบูรณ์ ผู้คนในชุมชนจึงไม่สามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ชุ่มน้ำ พรุ และปลักอ่างทองอีกต่อไป

บรรณานุกรม
  ชลิตตา บัณฑุวงศ์ และอนุสรณ์ อุณโณ, (2546), พลวัตเศรษฐกิจชุมชนหมู่บ้านภาคใต้ตอนบนฝั่งตะวันออก
          กรณีศึกษา 4 พื้นที่, กรุงเทพมหานคร :  สถาบันวิถีทัศน์.
เลิศชาย ศิริชัย, (2550),รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์เรื่องการประเมินและสังเคราะห์โครงการนโยบายสาธารณะใน
          การจัดการทรัพยาการ : ศึกษากรณีการจัดการและการใช้ประโยชน์ของป่าชายเลน ป่าสาคู ในลุ่มน้ำปะ
          เหลียน จังหวัดตรัง เสนอต่อมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) และสถาบันวิจัยระบบสุขภาพภาคใต้
          (สวรส.ภาคใต้).
วันเพ็ญ สุรฤกษ์, (2545), ภูมิศาสตร์กับวิถีไทย : “สังคมน้ำกับการวิเคราะห์เชิงพื้นที่”ในภูมิศาสตร์กับวิถีไทย,
          กรุงเทพมหานคร : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
วิบูลย์ เข็มเฉลิม, (2548), วิถีคนป่าตะวันออกผืนสุดท้าย, กรุงเทพมหานคร : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย.
วิบูลย์ ลี้สุวรรณ, (2547), ภูมิปัญญาไทยและวิถีไทย, กรุงเทพมหานคร : ศิริวัฒนา อินเตอร์พริ้น.
ศรีศักร วัลลิโภดม, (2551), คู่มือฉุกคิด ความหมายของภูมิวัฒนธรรม การศึกษาจากภายในและสำนึกท้องถิ่น,
          กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยพันธุ์.
สมาคมหยาดฝน, (2546), การสูญเสียพื้นที่ชุ่มน้ำจืด : กรณีศึกษาการใช้ป่าสาคูเป็นสื่อเพื่อเป็นทางเลือกในการใช้
          พื้นที่ชุ่มน้ำอย่างยั่งยืนในอำเภอนาโยง จังหวัดตรัง. (เอกสารอัดสำเนา).
สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม, (2542), ทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติของ
          ประเทศไทย, กรุงเทพมหานคร : สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี่
          และสิ่งแวดล้อม.
เอมอร บุญช่วย, (2554), ตำนานและความเชื่อที่เกี่ยวกับทวดในคาบสมุทรสทิงพระ จังหวัดสงขลา, วิทยานิพนธ์
          มหาวิทยาลัยทักษิณ.

สัมภาษณ์
จีรนันท์ ทวีกูล, ชาวบ้านปลักอ่างทอง ตำบลท่าประดู่ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา สัมภาษณ์ 20 มกราคม 2557.
ดำรงค์ สีทอง, ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 ตำบลท่าประดู่ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา สัมภาษณ์ 20 มีนาคม 2557.
ประณีต หนูพุ่ม, สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าประดู่ ตำบลท่าประดู่ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา สัมภาษณ์ 20
          มีนาคม 2557.
ประนอม จินดามณี, ชาวบ้านทุ่งดุก ตำบลท่าประดู่ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา สัมภาษณ์ 10 มกราคม 2557.
พระครูจันทสาราภิรม, เจ้าอาวาสวัดท่าประดู่ ตำบลท่าประดู่ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา สัมภาษณ์ 10 มกราคม 2557.
พรพิมล กลิ่นละมัย, ชาวบ้านปลักอ่างทอง ตำบลท่าประดู่ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา สัมภาษณ์ 11 มกราคม 2557.
เยี่ยม ศรียศ, ชาวบ้านทุ่งดุก ตำบลท่าประดู่ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา สัมภาษณ์ 10 มกราคม 2557.
เวียง รัตนนิมิต, ข้าราชการตำรวจ  ตำบลท่าประดู่ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา สัมภาษณ์ 11 มกราคม 2557.
เศียร จันทร์แก้ว, ชาวบ้านดังหมูใต้ ตำบลท่าประดู่ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา สัมภาษณ์ 11 มกราคม 2557.
โสภณ ทวีกูล, ชาวบ้านปลักอ่างทอง ตำบลท่าประดู่ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา สัมภาษณ์ 20 มีนาคม 2557.
สุญญตา ขุนจันทร์, ชาวบ้านวังไม้ไผ่ ตำบลท่าประดู่ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา สัมภาษณ์ 20 มกราคม 2557.
หวาน จันทร์แก้ว, ชาวบ้านปลักอ่างทอง ตำบลท่าประดู่ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา สัมภาษณ์ 10 มกราคม 2557.



            [1]พื้นที่ชุ่มน้ำรอบปลักอ่างทองเป็นพื้นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงในฤดูฝนแต่แห้งในฤดูแล้ง เป็นสถานที่ตั้งบ้านเรือนของชุมชนและสามารถทำการเกษตรเพราะปลูกและปลูกข้าวได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น