วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

การบูรณาการคติความเชื่อของพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ในเมืองนครศรีธรรมราช



บทความวิชาการที่ ๑๒ 
โดย พระครูวรวิริยคุณ (ปราโมทย์ กลิ่นละมัย)  

 เรื่อง... การบูรณาการคติความเชื่อของพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ในเมืองนครศรีธรรมราช
          พระพุทธศาสนาในอาณาจักรนครศรีธรรมราชจากการศึกษาพัฒนาการในตอนต้น  ย่อมชี้ให้เห็นว่าพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์มีบทบาทมากในคาบสมุทรภาคใต้และสยามประเทศ  แนวคิดพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์เริ่มต้นที่เมืองนครศรีธรรมราชและได้เผยแผ่เข้าสู่เมืองสุโขทัย-ศรีสัชนาลัยซึ่งได้หยั่งลึกลงไปในชุมชนเมืองทั้งสองก่อนที่จะแพร่กระจายไปสู่เมืองต่างๆ ในสยามประเทศอย่างกว้างขวาง  ลักษณะของพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ภายในชุมชนชนเมืองนครศรีธรรมราชได้ปรากฏอย่างชัดเจนทั้งแนวคิดและพฤติกรรมของคนในสังคมที่ยึดถือคติความเชื่อพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์เป็นหลักและยอมรับว่าเกาะลังกาเป็นเกาะแห่งธรรมที่เป็นศูนย์รวมของนักคิดนักปราชญ์ผู้คงแก่เรียนในพระธรรมวินัยและเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาในขณะนั้น  อย่างไรก็ตามพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ในชุมชนเมืองนครศรีธรรมราชก็มิได้มีลักษณะเป็นพุทธศาสนาตามแบบดั้งเดิมของลังกา  แต่เกิดเป็นการผสมผสานแนวคิดความเชื่อพื้นเมืองในท้องถิ่นกับคติความเชื่อพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ในชุมชนเมืองนครศรีธรรมราช ดังนั้น จึงสามารถพิจารณาลักษณะของพระพุทธศาสนาที่ได้รับแบบอย่างมาจากลังกาได้ต่อไปนี้
          . คติความเชื่อที่เป็นแบบอย่างพระภิกษุลังกาในนครศรีธรรมราช
          พระภิกษุในเมืองนครศรีธรรมราชได้รับการถ่ายทอดความรู้ทางพระพุทธศาสนาทั้งในส่วนที่เป็นปริยัติธรรมและการปฏิบัติธรรมตามแบบอย่างพระภิกษุในเกาะลังกา  ตลอดจนการเผยแผ่พุทธธรรมสู่วิถีชีวิตของผู้คนในสังคม  ซึ่งได้ทำให้เกิดแนวปฏิบัติกระทำสืบเนื่องกันมาจนกลายเป็นธรรมเนียมประเพณี  เช่น การโอนทาน กรานกฐิน พิธีตามประทีป พิธีอาสนบูชา การเทศนามหาชาติเวสสันดร การอุทิศถวายที่กัลปนา เป็นต้น  แนวคิดที่พระภิกษุจากเกาะลังกาถ่ายทอดสู่พระภิกษุในเมืองนครศรีธรรมราช ได้ปลูกฝังเป็นจารีตประเพณีที่กำหนดการประพฤติปฏิบัติของบุคคลในชุมชนเมืองนครศรีธรรมราช พระพุทธศาสนาลังกาวงศ์จึงไม่ได้เป็นเพียงพิธีกรรมและคติความเชื่อเท่านั้น แต่ได้ถูกหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันกับวิถีชีวิตทางสังคมวัฒนธรรมชาวเมืองนครศรีธรรมราช
          นับตั้งแต่การยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ที่ได้เข้ามาเผยแผ่ในอาณาจักรนครศรีธรรมราช  พระสงฆ์เป็นกลุ่มบุคคลที่มีบทบาทในการเป็นผู้นำของชุมชนและสังคม  โดยยึดถือเกาะลังกาเป็นแม่แบบอย่างแห่งความถูกต้องที่สืบทอดกันมาจากชมพูทวีป แม้กระทั่งเครื่องแต่งกายของพระภิกษุคือไตรจีวรที่มีสีแดงก่ำที่ประกอบด้วยสบง (ผ้านุ่ง) จีวร (ผ้าห่ม) และสังฆาฏิ (ผ้าซ้อนนอกหรือผ้าพาด) โดยมีรัดประคดหรือผ้าคาดเอวเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง  เครื่องแต่งกายของพระภิกษุสงฆ์ก็ได้แบบอย่างมาจากพระภิกษุสงฆ์เกาะลังกา  อีกทั้งสมณบริขารที่สำคัญของพระภิกษุสงฆ์คือ ตาลปัตร สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ  กรมพระยาดำรงราชานุภาพ  ทรงประทานความเห็นว่าความคิดในการที่พระสงฆ์ถือตาลปัตรมาจากเกาะลังกา  ปรากฏเรื่องราวในพุทธประวัติที่มีพระพุทธรักขิตาจารย์ เขียนเรื่องปฐมโพธิขึ้นในเกาะลังกา ตาลปัตรจึงนำมาเป็นเครื่องใช้ของพระสงฆ์  โดยเฉพาะการแสดงธรรมและการสวดต่างๆ โดยเฉพาะพิธีสวดพระปริตร ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อคุ้มครองป้องกันภยันตรายต่างๆ เช่น การขับไล่ภูตผีปีศาจ ไข้ยมบน โรคภัยไข้เจ็บ ตลอดจนใช้ในงานมงคลต่างๆ 
          ลักษณะโครงสร้างทางความคิดของพระภิกษุในอาณาจักรนครศรีธรรมราชและประชาชนก็นำเอาแบบอย่างพระภิกษุลังกาที่มุ่งการปฏิบัติเจริญธรรมสูงสุด  เพื่อให้บรรลุถึงพระนิพพาน  แนวคิดดังกล่าวปรากฏอยู่ในหมู่พระภิกษุฝ่ายอรัญวาสี  ซึ่งปรากฏว่าชนชั้นสูงและประชาชนโดยทั่วไปจะได้รับการถ่ายทอดในรูปของพิธีกรรมต่างๆ ดังจะเห็นได้จากการกัลปนา อุทิศที่ดิน แรงงานสัตว์และสิ่งของให้กับวัดซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชน  เพื่อผลอานิสงส์ที่จะตอบสนองเป็นกุศลที่จะนำไปสู่พระนิพพานหรือการหลุดพ้น  โดยขอให้อานิสงส์ทั้งหลายได้ส่งให้ตนเองไปเกิดในยุคพระศรีอาริย์เพื่อจะได้ฟังพระธรรมและบรรลุพระนิพพาน คติความเชื่อ พระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ที่ได้รับแบบอย่างภิกษุลังกาและนำมาผสมผสานให้เป็นความเชื่อท้องถิ่น ดังนี้
          ๒. คติความเชื่อการสร้างสถูปเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
          คตินิยมในการสร้างสถูปเจดีย์ในยุคนี้นิยมสร้างเป็นรูปแบบระฆัง ซึ่งเป็นคติความเชื่อที่ได้รับอิทธิพลมาจากลังกายังคงถือว่าพระบรมธาตุเจดีย์เป็นสัญลักษณ์ในการดำรงอยู่ของพระพุทธศาสนา อันเป็นเครื่องหมายแห่งการตั้งมั่นของพระพุทธศาสนาและความเจริญความบริสุทธิ์ของธรรมที่ถูกต้องในสังคม การสร้างพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารริกธาตุขึ้นเป็นศูนย์รวมความศรัทธาเป็นอานิสงส์แก่ผู้สร้าง ผู้บูชาและเป็นประธานของพระพุทธศาสนาในดินแดนแห่งนั้น เช่น พระปฐมเจดีย์ พระธาตุพนม พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช พระธาตุเจดีย์วัดเขียนบางแก้ว พระธาตุวัดสวี เป็นต้น
          เจดีย์รูปแบบลังกาเป็นสิ่งหนึ่งที่ชี้ชัดว่านครศรีธรรมราชได้รับพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ด้วยอย่างหนึ่ง เจดีย์รูปแบบลังกาหรือที่นิยมเรียกกันในสมัยปัจจุบันว่าเจดีย์ทรงระฆังหรือทรงโอคว่ำ เหนือองค์ระฆังมีบัลลังก์และบนแกนกลางบัลลังก์มีกรวยยอดประดับปล้องไฉนเป็นชั้นๆ บนปลายสุดกรวยยอดมีลูกแก้วประดับที่ยอดของเจดีย์  เจดีย์ทรงลังกานั้นมักจะประดับปล้องไฉนไว้เป็นจำนวนมาก เช่น ลุวันเวลิเจดีย์  ในนครอนุราธปุระ ประเทศศรีลังกาและพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช  เป็นต้น
          การสร้างเจดีย์ทรงลังกานอกจากการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าแล้วก็ยังเป็นการประกาศหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอีกด้วย เช่น ฐานสี่เหลี่ยมของเจดีย์ หมายถึง อริยสัจจ์ ๔ ฐานที่เรียงกันสามชั้นหมายถึงไตรภูมิ  โดยความหมายขององค์พระเจดีย์ หมายถึง พระพุทธศาสนาอันเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกทั้งสามโลกหรือไตรภูมิ คือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ  มีอริยสัจจ์   เป็นธรรมข้อพิจารณาอันทำให้ผู้ปฏิบัติตามได้บรรลุถึงพระนิพพาน  ส่วนปล้องไฉนบนส่วนยอดคือชั้นของภูมิฝ่ายสุคติอันเป็นไปของสัตว์ผู้ประพฤติชอบมีพระนิพพานเป็นยอดสูงสุด
          ๓. คติความเชื่อการทำรูปช้างล้อมรองฐานพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช
          การทำรูปช้างล้อมรอบองค์ธาตุพระเจดีย์นั้นน่าจะมีความสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาพระพุทธศาสนา    เพราะว่าช้างเป็นสัตว์ที่มีความเกี่ยวพันกับคติความเชื่อทางศาสนามาตั้งแต่สมัยโบราณและการทำแถวช้างประดับรอบฐานเจดีย์นั้นน่าจะมีคติมาจากช้างค้ำหรือช้างยืนแบบโลก แบกจักรวาล จากคัมภีร์ศาสนาพราหมณ์ในเรื่องมหากาพย์รามยณะได้มีการกล่าวถึงเรื่องช้างค้ำจักรวาล โดยมีการกล่าวถึงช้างยืนแบกโลกหรือจักรวาลที่อยู่ใต้โลกประจำทิศ ๔ ทิศ มี ๔ เชือก เรียกว่า ช้างแห่งจักรวาล  ลักษณะรูปแบบของช้างค้ำที่ปรากฏในพระพุทธศาสนามีทั้งในประเทศอินเดียและประเทศศรีลังกา
          ส่วนเจดีย์ช้างล้อมในนครศรีธรรมราชนั้นได้รับอิทธิพลทางศิลปะของลังกาที่แพร่หลายเข้ามาพร้อมกับพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ ซึ่งได้ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกที่พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชในปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘  ต่อมาได้ปรากฏเป็นเจดีย์แบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมในกรุงสุโขทัย  ช้างล้อมรอบองค์เจดีย์เป็นคติความเชื่อของชาวลังกาว่าการทำช้างล้อมรอบองค์พระเจดีย์นั้นอาจจะได้คติมาจากการแห่เชิญพระบรมสารีริกธาตุที่เคยกระทำมาแต่โบราณ  การที่ใช้ช้างนั้นก็เพราะถือกันว่าช้างเป็นสัตว์ประเสริฐ แม้ในพงศาวดารของไทยก็เคยมีการกล่าวถึงการเชิญพระบรมสารีริกธาตุโดยช้างไปยังนครเชียงใหม่ จึงเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปและน่าจะเป็นเพราะคติดังกล่าวของชาวลังกา จึงได้ทำรูปช้างเทินพระเจดีย์เอาไว้ ดังนั้น จึงได้รับการนำมาเผยแพร่ในนครศรีธรรมราชและประเทศไทยเป็นลำดับต่อมา
          ๔. คติความเชื่อเกี่ยวกับการักษาพระธาตุ
          คติความเชื่อการักษาพระธาตุหรือพระบรมสารีริกธาตุบนหาดทรายแก้ว  เมื่อครั้งคณะธรรมทูตลังกานำพระบรมสารีริกธาตุฝังลง ณ หาดทรายแก้ว  ซึ่งก่อพระเจดีย์องค์เล็กๆ สวมไว้และผูกกาภาพยนตร์รักษาพระบรมสารีริกธาตุ  เมื่อพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชสร้างเมืองบนหาดทรายแก้วและทรงขุดค้นหาพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนหาดทรายแก้ว  ซึ่งเป็นระยะเวลาประมาณสองร้อยกว่าปีคลื่นลมได้ซัดและพัดพาเอาทรายขึ้นทับถมเจดีย์องค์เล็กเดิมจนทรายเรียบเสมอกัน  พระพุทธคำเภียรและคณะสงฆ์ได้ออกสืบหาคนเฒ่าคนแก่ที่เคยอาศัยอยู่ที่บริเวณหาดทรายแก้วมาแต่เดิมให้ช่วยชี้แนะสถานที่ที่ฝังพระบรมสารีริกธาตุ ครั้นเมื่อขุดลงไปก็ได้รับการขัดขวางจากกาภาพยนตร์ ซึ่งเกิดอาถรรพณ์ที่คณะทูตลังกาได้ทำเอาไว้ จึงต้องเที่ยวหาคนดีที่มีวิชาความรู้มาทำพิธีแก้จึงจะขุดพระบรมสารีริกธาตุขึ้นมาสมโภชและสร้างเจดีย์บรรจุไว้
          กาภาพยนตร์ที่รักษาพระบรมสารีริกธาตุบนหาดทรายแก้วมี ๔  ฝูง คือ กาฝูงสีดำเรียกว่ากาเดิม กาฝูงสีแดงเรียกว่ากาชาด กาฝูงสีขาวเรียกว่ากาแก้ว และกาฝูงสีเหลืองเรียกว่าการาม  กาภาพยนต์ที่รักษาพระบรมธาตุเจดีย์ทั้งสี่พวกต่อมาเมื่อมีพระสงฆ์มีวัดในพระพุทธศาสนาขึ้นในเมืองนครศรีธรรมราช  พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช จันทรภานุศรีธรรมราช ทรงกำหนดเขตพุทธาวาสบริเวณรายรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์และจัดระเบียบคณะสงฆ์โดยการยึดเอานัยกาภาพยนต์ที่เคยรักษาพระบรมธาตุเจดีย์  ทรงแบ่งคณะสงฆ์ออกเป็น ๔ คณะ คือ คณะกาเดิม  คณะกาชาด คณะกาแก้ว และคณะการาม สงฆ์หัวหน้าคณะเทียบที่สังฆราชของแต่ละคณะ  ซึ่งต่อมาพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช  จันทรภานุศรีธรรมราช ทรงพิจารณาเห็นว่าเป็นมงคลนาม ทรงแต่งตั้งเป็นสมณศักดิ์การักษาพระบรมธาตุเจดีย์ คือ คณะกาเดิมห้วหน้าเป็นพระครูกาเดิม  คณะกาชาดหัวหน้าเป็นพระครูกาชาด คณะกาแก้วหัวหน้าคณะเป็นพระครูกาแก้ว  และคณะการามหัวหน้าคณะเป็นพระครูการามเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน


            ๕. คติความเชื่อเกี่ยวกับพระนามของกษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรนครศรีธรรมราช
          คติความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช  กษัตริย์ผู้ครองอาณาจักรพระพุทธศาสนาหรืออาณาจักรนครศรีธรรมราช ซึ่งมีพระนามว่า ศรีธรรมาโศกหรือศรีธรรมโศกราช  ตามที่ปรากฏพระนามอยู่ในตำนานเมืองนครศรีธรรมราช ตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช  พระนิพพานโสตร และเอกสารอื่นๆ นั้น  พระนามนี้เป็นตำแหน่งของกษัตริย์ผู้ทรงอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์และปกครองอาณาจักรนครศรีธรรมราช  เพราะว่ากษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรนครศรีธรรมราชมีอยู่หลายพระองค์ทั้งที่มีพระนามจริงอยู่แล้วเมื่อมาเป็นกษัตริย์ปกครองอาณาจักรนครศรีธรรมราชก็จะต้องเฉลิมพระนามใหม่ว่า พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชหรือพระเจ้าศรีธรรมโศกราชหรือศรีธรรมาโศกมหาราชอีก  จนกระทั่งพระนามศรีธรรมาโศกราชกลายเป็นพระนามจริงและพระนามเดิมของพระองค์ทรงหายไปก็มี  ซึ่งกษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรนครศรีธรรมราชปฏิบัติตามแบบอย่างของพระเจ้าอโศกมหาราช  ผู้เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๓  ในราชวงศ์เมารย  เมื่อพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์ก็ตั้งพระราชหฤทัยที่จะขยายอาณาจักรให้กว้างใหญ่ยิ่งออกไปตามเยี่ยงอย่างของพระเจ้าอัยกาและพระราชบิดาได้ประพฤติมาแต่ก่อน  จึงได้ยกกองทัพไปตีประเทศกลิงคราฐหมายจะขยายราชอาณาเขตต่อลงไปทางฝ่ายอินเดียตอนใต้ แต่เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชได้ทำสงครามมีชัยชนะทรงได้ประเทศกลิงคราฐไว้ในอำนาจ พระองค์ทรงทราบว่าในการรบพุ่งกันในครั้งนั้น  พวกชาวกลิงคราฐถูกฆ่าพันตายเป็นจำนวนแสนกว่าคนทรงเกิดความสังเวชพระราชหฤทัย  ทรงปรารภว่าการที่พระมหากษัตริย์แสวงหาเกียรติยศและอาณาเขตด้วยการทำให้มนุษย์เดือดร้อนล้มตายอย่างนั้นก็ควรไม่ ตั้งแต่นั้นมาพระเจ้าอโศกมหาราชก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา  ทรงเลิกทำศึกสงครามขวนขวายแต่ในการที่จะบำรุงพระราชอาณาเขตโดยทางธรรม  ต่อมาพระองค์ทรงได้พระนามใหม่ว่า “พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช”
          นครศรีธรรมราชในอดีตเคยมีชื่อเรียกว่า เมืองปาฏลีบุตรหรือปาฏลีบุตรนครนั้นอาจจะมีมูลเหตุมาจากเหตุการณ์อันเกี่ยวกับการบำเพ็ญพระราชกุศลของพระเจ้าอโศกมหาราชมากกว่า ซึ่งในหนังสือชื่อว่า พุทธสถานในอินเดียโบราณกล่าวว่า
       “...ปาฏลีบุตรเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิมคธ  ตามหลักฐานบันทึกของหลวงจีนฟาเหียน  แสดงว่าพระเจ้าอโศกได้ทรงดำเนินกิจกรรม  เพื่อประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา  ทรงได้เริ่มกระทำที่เมืองปาฏลีบุตรเป็นครั้งแรก  พระองค์ทรงได้นำเอาพระบรมสารีริกธาตุที่ได้บรรจุไว้ในสถูปทั้งเจ็ดแห่งมาบรรจุไว้ในสถูปใหม่ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นทั่วพระราชอาณาจักรของพระองค์และสถูปแห่งแรกของพระองค์ก็สร้างขึ้นที่เมืองปาฏลีบุตร...”
          การที่เมืองนครศรีธรรมราชมีชื่อว่าเมืองปาฏลีบุตรน่าจะเป็นเพราะเหตุนี้  เพราะว่าเมื่อนำพระนามของพระเจ้าอโศกมหาราชที่ได้เฉลิมพระนามใหม่ว่า “พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช” มาเป็นพระนามของพระเจ้าแผ่นดินผู้ครองนครศรีธรรมราชแล้วก็น่าจะเรียกเมืองเจ้าผู้ครองแคว้นแล้วก็น่าจะเรียกชื่อราชธานีของพระองค์ว่า นครปาฏลีบุตรหรืปาฏลีบุตรนครได้เช่นเดียวกัน  ต่อมาก็นำเอาพระนามของกษัตริย์ผู้ปกครองมาเป็นชื่ออาณาจักรใหม่ว่า “นครศรีธรรมราช”
          ตำนานสุวรรณปุรวงศ์ ซึ่งเป็นตำนานของลังกาได้เรียกชื่อนครอันมีพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองนั้นว่า สุวรรณปุระ  ตำนานนี้ได้กล่าวว่าพระเจ้าแผ่นดินกรุงสุวรรณปุระสืบพระวงศ์มาจากพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งเมารยวงศ์ (พระเจ้าแผ่นดินโบราณที่ไชยยาและนครศรีธรรมราช จึงมีพระนามว่าศรีธรรมาโศก) พระเจ้าแผ่นดินวงศ์นี้มีพระนามเป็นพระพุทธเจ้า พระสาวกของพระพุทธเจ้า มีพระนามเป็นพระโพธิสัตว์และมีพระนามเป็นเทวดา เช่น พระศรีพุทธัสสะ คุณาอรรนพ  มาราวิชโยตุงค์  ไตรโลกยราช พระอินทร์  พระวิษณุ และพระจันทรภาณุ เช่นเดียวกันกับพระนามของกษัตริย์ลังกา ในตำนานเมืองนครศรีธรรมราช  ตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช  พระนิพพานโสตร และเอกสารอื่นๆ ได้กล่าวถึงพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช  เดิมอยู่ที่เวียงสระภายหลังได้โยกย้ายมายังหาดทรายแก้วเมืองนครศรีธรรมราช  เพื่อตั้งเมืองใหม่และขุดรื้อนำเอาพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าขึ้นมาได้แล้วบรรจุพระบรมธาตุลงไว้สร้างพระธาตุองค์ใหม่ขึ้นมาและในลายแทงเจดีย์วัดแก้วไชยากล่าวว่า “เจดีย์วัดแก้ว ศรีธรรมาโศกสร้างแล้ว แลเห็นเรืองรอง  สี่เท้าเหยียบปากพะเนียงทอง  ใครคิดต้อง กินไม่สิ้นเลย” ดังนั้น พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชในตำนานต่างๆ ดังที่กล่าวมานั้นอันหมายถึงลูกหลานสืบเชื้อสายของพระเจ้าอโศกมหาราชหรือเป็นพระญาติอันเป็นแบบอย่างทางพระพุทธศาสนา
          ๖. คติความเชื่อการสร้างรอยพระพุทธบาทนครศรีธรรมราช
          คติความเชื่อเรื่องรอยพระพุทธบาทปรากฏหลักฐานในคัมภีร์มหาวงศ์ได้กล่าวถึงการบูชารอยพระพุทธบาทในลังกาทวีปนั้นเริ่มตั้งแต่สมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธองค์ได้ทรงประดับรอยพระบาทบนยอดเขาสุมนกูฏ เพื่อประทานให้เหล่าเทพประจำท้องถิ่นและวิญญาณธรรมชาติที่พิทักษ์รักษาลังกาทวีป   การประทับรอยพระบาทนี้เท่ากับเป็นการประกาศชัยชนะของพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนาที่มีต่อเทพเจ้า ซึ่งเป็นศาสนาและความเชื่อดั้งเดิมในดินแดนลังกา  เขาสุมนกูฏเคยเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อกันว่ามีเทพเจ้าพื้นเมืองและวิญญาณบรรพบุรุษพำนักอยู่บนภูเขา เมื่อเทพเจ้านามว่า “มหาสุมน” ยอมรับพระบรมศาสดาและพระธรรมของพระองค์ รอยพระพุทธบาทที่ประทับบนเขาสุมนกูฏ จึงกลายเป็นสัญลักษณ์บนสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ทางพระพุทธศาสนาในลังกา
          การเผยแผ่พระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ในอดีต ซึ่งมีวิธีเผยแผ่   ลักษณะ คือ ๑. การเผยแผ่ศาสนาของภิกษุอรัญวาสี  ซึ่งได้นำคณะจาริกไปตามภูมิประเทศเมื่อเห็นสถานที่เหมาะสมแก่การบำเพ็ญภรตรักษาศีลก็จะสร้างรอยพระพุทธบาทลงไว้เป็นเครื่องหมายว่าพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ได้มาถึงตำบลนั้นๆ แล้วหรือเป็นการทำแผนที่หรือสัญลักษณ์ เพื่อให้เป็นเครื่องหมายไว้แก่ภิกษุรุ่นหลังจะได้เดินทางไปยังดินแดนนั้น  การที่คณะจาริกเผยแผ่พระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ได้กระทำไว้ดังนั้น  จึงเป็นสาเหตุให้คนท้องถิ่นได้เล่าสืบต่อกันมาเป็นตำนานว่า พระพุทธองค์ได้เคยเสด็จมาประทับรอยพระบาทไว้ ณ ที่แห่งนั้นแห่งนี้ และ ๒. การเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่เกิดขึ้นใกล้สมัยพุทธกาล  ในครั้งที่สามารถหาพระบรมสารีริกธาตุได้เป็นจำนวนมาก สมณทูตผู้เป็นหัวหน้ามักจะนำพระบรมสารีริกธาตุจำนวนหนึ่งติดตัวไปตามสถานที่ที่จะปรารถนาจะให้เป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนา  ซึ่งมักจะเป็นเมืองที่มีความเจริญแล้วหรือเป็นเมืองที่มีกษัตริย์ปกครองเป็นหลักฐานมั่นคง  เมื่อชนในท้องถิ่นรับนับถือพระธรรมคำสอนดีแล้วจึงได้สร้างพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขึ้นเป็นศูนย์รวมความศรัทธาและเป็นประธานของพระพุทธศาสนาในดินแดนแห่งนั้น เช่น พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช พระธาตุไชยา พระธาตุวัดเขียนบางแก้ว พระธาตุวัดสวี เจดีย์วัดเจดีย์งาม เป็นต้น
          ๗. คติความเชื่อเกี่ยวกับการปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ
          คติความเชื่อในการนับถือต้นพระศรีมหาโพธิ์   จึงเป็นปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่งในการส่งเสริมและการเผยแผ่พระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ โดยถือเป็นเครื่องหมายแห่งการตรัสรู้และการสืบทอดพระพุทธศาสนาที่บริสุทธิ์  ในคัมภีร์อรรถกถาได้พรรณนาถึงปาฏิหาริย์ของพระศรีมหาโพธิอย่างมากมายเช่นนี้ย่อมแสดงถึงความสำคัญของต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่จะทำให้พุทธบริษัทมีความเคารพนับถือต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นอย่างยิ่ง เช่น มีการยืนยันจากชาวพุทธในศรีลังกาว่าพระพุทธเจ้าเมื่อยังพระชนม์ชีพอยู่กับพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์หลังการดับขันธ์และต้นพระศรีมหาโพธิ์มีความสำคัญเสมอกัน เป็นต้น  นอกจากต้นพระศรีมหาโพธิ์จะเป็นต้นไม้ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่เป็นบริโภคเจดีย์แล้ว ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นสัญลักษณ์ของการสืบทอดพระพุทธศาสนาจากอินเดียสู่ลังกา  โดยการอัญเชิญหน่อของพระศรีมหาโพธิ์ของพระนางสังฆมิตตาเถรีพระธิดาของพระเจ้าอโศกมหาราช  ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในพระพุทธศาสนา องค์ประกอบเหล่านี้ยิ่งทำให้คนลังกามีความเชื่อและความเลื่อมใสในต้นพระศรีมหาโพธิ์ดุจดังพระพุทธเจ้าและเชื่อในอานิสงส์ของการบูชาต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกและอรรถกถา  ทุกวันนี้ชาวพุทธในลังกาสวดภาวนารอบลานพระศรีมหาโพธิ์ บ้างปัดกวาดลานทราย บ้างทำสมาธิ แนวคิดเหล่านี้คงส่งผลมาถึงประเทศที่รับอิทธิพลพระพุทธศาสนาจากลังกา  ดังที่พระภิกษุเมืองนครศรีธรรมราชได้เดินทางไปบวชแปลงและศึกษาพระพุทธศาสนาที่ลังกา ตอนกลับมาก็นำเอาหน่อพระศรีมหาโพธิ์มาปลูกที่เมืองนครศรีธรรมราช ดังที่ตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราชได้กล่าวไว้ว่า พระมหามงคลเถระ (พระมหาเถรมงคล) ได้นำหน่อพระศรีมหาโพธิ์ใส่อ่างทองพร้อมกับคณะพุทธบริษัทลงสำเภามาจากลังกามาสร้างวัดพลับและปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (ทิศอุดร) ขององค์พระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช และกล่าว่าพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชสร้างวัด  เจดีย์ วิหาร  พระพุทธรูปและปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ในเมืองนครศรีธรรมราชและเมื่อครั้งที่พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชยกทัพไปรบกับท้าวอู่ทองที่บางสะพาน (บางตภาร) ตอนที่พระองค์ทรงยกทัพกลับเมืองนครศรีธรรมราช ทรงสร้างวัด ก่อเจดีย์ และปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์มาตลอดทางจนถึงเมืองนครศรีธรรมราช  ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นต้นไม้สัญลักษณ์ในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า  จึงเป็นที่นิยมปลูกขึ้นภายในวัดทั่งทั้งอาณาจักรนครศรีธรรมราชและดินแดนที่มีพระพุทธศาสนา

            ๘. คติความเชื่อเกี่ยวกับพระพุทธสิหิงค์  
            พระพุทธสิหิงค์ที่ประดิษฐานที่อยู่หอพระพุทธสิหิงค์  ชาวนครศรีธรรมราชมีความเชื่อว่าเป็นพระพุทธสิหิงค์ที่พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชจันทรภานุขอมาจากกษัตริย์ลังกา เรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธสิหิงค์ในลังกา  สิงคนิทานได้กล่าวว่าเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในลังกา  เมื่อปี พ.ศ. ๗๐๐  ชาวสิงหลกับพระอรหันต์  ๒๐  องค์ใคร่อยากจะเห็นพระพุทธเจ้า ความปรารถนานี้ทราบถึงพระยานาคตนหนึ่งก็ทูลรับอาสาเนรมิตพระพุทธเจ้าถวายทอดพระเนตรให้พระอรหันต์ชม  ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิเหนือรัตนบัลลังก์  สมบูรณ์ด้วยมหาปุริสลักษณะ  เป็นที่บังเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงสร้างพระปฏิมาแทนองค์พระพุทธเจ้า หล่อพระพุทธรูปขึ้นองค์ด้วยทองสัมฤทธิ์ถวายนามว่า พระพุทธสิหิงค์  ซึ่งมีความหมายว่าทรวดทรงอวัยวะทั้งปวงลม้ายคล้ายราชสีห์  ตำนานเกี่ยวกับพระพุทธสิหิงค์ยังปรากฏในชินกาลมาลีปกรณ์ได้กล่าวถึงเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชได้ทูลขอพระพุทธสิหิงค์กับกษัตริย์ลังกา  เพื่อถวายตามพระราชประสงค์ของพ่อขุนรามคำแหงทรงได้นำมาประดิษฐานที่เมืองนครศรีธรรมราชและนำไปประดิษฐานในอาณาจักรสุโขทัย  ส่วนตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราชและตำนานเมืองนครศรีธรรมราชได้กล่าวไว้ว่า พระสิหิงค์เสด็จมาจากเมืองลังกาล่องน้ำมาทะเลมาถึงเกาะปีนังและเสด็จมาถึงหาดทรายแก้วเมืองนครศรีธรรมราช  พระพุทธสิหิงค์จึงเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองนครศรีธรรมราชมาแต่โบราณที่ได้รับความนับถือสูงสุดองค์หนึ่ง  ความเชื่อความศรัทธาและการนับถือพระพุทธสิหิงค์ในนครศรีธรรมราช  จึงได้มีการสร้างพระพุทธสิหิงค์ตลอดมา  การสร้างพระพุทธสิหิงค์จึงเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาลังกาวงศ์อีกแบบหนึ่งหรือพระพุทธสิหิงค์เป็นพุทธสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ในอาณาจักรนครศรีธรรมราชและบริเวณใกล้เคียง
            ๙. คติความเชื่อเกี่ยวกับเจ้าชายทันตกุมาร เจ้าหญิงเหมชาลาและพระเขี้ยวแก้ว
            ชาวพุทธในนครศรีธรรมราชมีความเชื่อว่าเจ้าชายทันตกุมารและเจ้าหญิงเหมชาลาได้อัญเชิญพระทันตธาตุหรือพระเขี้ยวแก้วของพระพุทธองค์มาประดิษฐานในองค์พระบรมธาตุเจดีย์บนหาดทรายแก้ว  ดังที่ปรากฏอยู่ในตำนานเมืองนครศรีธรรมราช  ตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราชและพระนิพพานโสตรดังกล่าว  ซึ่งในมหาปรินิพพานสูตรกล่าวว่าพระเขี้ยวแก้วองค์หนึ่งเทวดาชั้นดาวดึงส์บูชา อีกองค์หนึ่งอยู่ในคันธารปุระ  อีกองค์หนึ่งอยู่ในแคว้นของพระเจ้ากาลิงคะและอีกองค์หนึ่งพระยานาคบูชากันอยู่  พระเขี้ยวแก้วเป็นพระธาตุสำคัญ เพราะคัมภีร์อรรถกถากล่าวว่าเมื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระพุทธเจ้าแล้วมีพระธาตุ ๗  ส่วนที่มิได้กระจาย คือ พระเขี้ยวแก้ว ๔ องค์  พระรากขวัญ ๒ องค์และพระอุณหิส ๑ องค์  นอกนั้นกระจัดกระจาย  พระธาตุเล็กๆ มีขนาดเท่าพันธุ์ผักกาด ขนาดใหญ่เท่าเมล็ดข้าวสารหักกลางและขนาดใหญ่ยิ่งมีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวหักกลาง
            คัมภีร์ทาฐาธาตุวงศ์กล่าวว่าพระเจ้าคุหสิวะกษัตริย์แห่งนครทันตบุรี แคว้นกาลิงคะ ทรงครบครองดูแลกราบไหว้พระเขี้ยวแก้วของพระพุทธองค์  ในกาลต่อมาเจ้าชายทันตกุมาร  พระราชโอรสของกษัตริย์นครอุชเชนีเสด็จไปทันตปุระเพื่อจะบูชาพระทันตธาตุ  พระเจ้าคุหสิวะทรงมีพระธิดาพระองค์หนึ่งพระนามว่าเหมชาลา  ทรงเห็นว่าพระทันตกุมารประกอบด้วยธรรมสมควรแก่วงศ์ตระกูลจึงทรงยกพระราช ธิดาให้และทรงมอบหน้าที่ให้ช่วยกันรักษาพระทันตุธาตุไว้  ภายหลังมีพระกุมารพระองค์หนึ่งได้เสด็จพร้อมไพร่พลจำนวนมากยกทัพประชิดเมืองเพื่อทำสงคราม  พระเจ้าคุหสิวะจึงรับสั่งให้เจ้าชายทันตกุมารและเจ้าหญิงเหมชาลาแปลงเป็นพราหมณ์อัญเชิญพระทันธาตุไปที่ลังกาทวีป เนื่องจากเห็นว่าในลังกาทวีปมีพระธาตุของพระพุทธเจ้าประดิษฐานอยู่พระพุทธศาสนาก็เจริญรุ่งเรืองอีกทั้งภิกษุก็มีจำนวนมาก พระเจ้ามหาเสนผู้เป็นพระสหายก็เคยส่งคนมาบูชาพระทันตธาตุ  ครั้นตรัสสั่งแล้วก็เสด็จออกรบและสิ้นพระชนม์ในสนามรบ พระกุมารพร้อมทั้งพระชายาได้อัญเชิญพระทันตุธาตุขึ้นเหนือเศียรเดินทางไปถึงท่ามลิตติแล้วลงเรือไปสู่ลังกาทวีปพร้อมกับพ่อค้าทั้งหลายจนถึงท่าลังกายัฏฏนะ  เข้าไปไหว้พระสังฆราชในมหาวิหาร  พระเถระจึงไปแจ้งข่าวพระทันตธาตุแก่พระเจ้าสิริเมฆวรรณะ พระราชาทรงทราบข่าวแล้วทรงบังเกิดปีติเป็นอย่างยิ่ง พระองค์เสด็จไปรับพระทันธาตุที่เมฆศิริมหาวิหารทรงบูชาพระทันตธาตุ พระราชทานทรัพย์และฐานันดรแก่เจ้าชายและเจ้าหญิงเป็นจำนวนมาก  หลังจากนั้นทรงเสี่ยงทายสถานที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วด้วยราชรถที่ซุ้มประตูเมืองอนุราธปุระด้านทิศเหนือตรงสถานที่พระมหินทเถระเคยแสดงธรรมและอัญเชิญพระทันตธาตุไปประดิษฐานในพระราชวัง  เมื่อทรงสร้างอภยุตตรวิหารเสร็จแล้วจึงอัญเชิญพระทันธาตุไปประดิษฐาน  ทรงประกาศพระราชโองการให้มีการฉลองบูชาพระทันธาตุทุกปีสืบทอดเป็นประเพณีมาจนถึงปัจจุบัน ตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราชและตำนานเมืองนครศรีธรรมราชมีความคล้ายคลึงกันโดยมีใจความว่าเมืองทนธบุรี  ซึ่งมีกษัตริย์ชื่อท้าวโกสีหราชได้ครอบครองพระทันตธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่นั้น  ซึ่งมีกษัตริย์เมืองอื่นมารบเพื่อแย่งชิงพระทันตธาตุ  เจ้าชายทนธกุมารและเจ้าหญิงเหมชาลาสองพี่น้องได้อัญเชิญพระทันตธาตุหลบหนีออกจากเมืองมุ่งหน้าไปยังเกาะลังกา  แต่เรือประสบอุบัติเหตุล่มลงกลางทะเล  กษัตริย์สองพี่น้องได้ลอยมาติดชายฝั่งและเดินเท้ามาจนพบกับหาดทรายแก้ว จึงได้ทำการฝังพระบรมสารีริกธาตุไว้  ต่อมากษัตริย์สองพี่น้องได้พบกับพระมหาเถรพรหมเทพ  ซึ่งได้ทำนายไว้ว่าภายหน้าที่บริเวณหาดทรายแก้วนี้จะมีกษัตริย์ชื่อพระยาศรีธรรมาโศกราชมาสร้างเมืองและพระธาตุเจดีย์  ต่อมาพระมหาเถรพรหมเทพก็จากไป  ส่วนเจ้าชายและเจ้าหญิงได้ขุดพระทันตธาตุขึ้นมาและนำกลับไปยังเกาะลังกา  เมื่อเดินทางไปถึงเกาะลังกาจึงมอบพระทันธาตุให้แก่กษัตริย์ลังกา   พระราชาทรงได้ประทานพระบรมสารีริกธาตุกลับมาให้จำนวนหนึ่ง  เพื่อให้นำไปบรรจุในเจดีย์ที่หาดทรายแก้วดังเดิม
             เนื้อความของตำนานพระธาตุนครศรีธรรมราช  ตำนานเมืองนครศรีธรรมราชและพระนิพพานโสตรนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ศรีลังกา ในรัชกาลของพระเจ้าสิริเมฆวรรณะในราวพุทธศตวรรษที่ ๙  ต่อมาราวปี พ.ศ. ๑๗๔๐–๑๗๔๓  พระธรรมกิตติมหาเถระได้แปลคัมภีร์ทาฐาธาตุวงศ์จากภาษาสิงหลเป็นภาษามาคธีในรัชสมัยของพระราชินีลีลาวดี  ต่อมาปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘  พระภิกษุชาวลังกาได้นำพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์จากเกาะลังกามาเผยแผ่และสร้างพระบรมธาตุเจดีย์แบบลังกาขึ้นที่เมืองนครศรีธรรมราชแล้วผูกตำนานเป็นเรื่องเล่าเหตุการณ์จริงในเกาะลังกามาสู่เมืองนครศรีธรรมราช   เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระพุทธศาสนาที่มาจากลังกานั้นได้เผยแผ่เข้ามาสู่ดินแดนแห่งนี้ซึ่งได้มีการยอมรับนับถือกันอย่างแพร่หลาย  และต่อมาในสมัยอยุธยาได้นำเอาคติความเชื่อเรื่องเจ้าชายทันตกุมารมาสร้างเป็นพระพุทธรูปพระทันตกุมาร เป็นพระพุทธรูป ทรงเครื่องปางประทานอภัย ซึ่งประดิษฐานอยู่ด้านหน้าวิหารธรรมศาลาและนำเอาคติความเชื่อเจ้าหญิงเหมชาลามาสร้างเป็นพระพุทธรูปพระนางเหมชาลา เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องปางห้ามญาติ  ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในวิหารคดด้านหลังวิหารธรรมศาลา
            ๑๐. คติความเชื่อเกี่ยวกับบารมีธรรม
            แนวคิดในเรื่องบารมีธรรมตามแนวคิดของพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ที่ปรากฏในคัมภีร์พุทธศาสนาหลายสมัยทั้งในพระไตรปิฎก อรรถกถา และฎีกา รวมทั้งคัมภีร์ปกรณ์พิเศษอื่นๆ ซึ่งเป็นความเชื่อเรื่องการบำเพ็ญธรรม โดยเฉพาะอรรถกถาบาลีจากลังกาทวีปที่เข้ามาเผยแผ่ในนครศรีธรรมราชและสยามประเทศ อรรถกถาบาลีเดิมพระมหินทเถระนำเข้ามาในลังกาทวีป  ได้มีการแปลอรรถกถาบาลีเป็นภาษาสิงหลและคณะสงฆ์ฝ่ายมหาวิหารเป็นผู้เก็บรักษาไว้   ซึ่งมีการจารเป็นลายลักษณ์อักษรลงในใบลาน เช่นเดียวกับพระสงฆ์ชาวสยามที่เอาแบบอย่างจากการจารคัมภีร์ลงใบลานเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ
            มหานิบาตชาดกเป็นชาดกที่แสดงถึงเรื่องบารมีธรรม แพร่หลายมาจากลังกาทวีป ถือเป็นความเชื่อทางพระพุทธศาสนาที่มีความศักดิ์สิทธิ์ที่พระภิกษุนิยมถ่ายทอดเพื่อประโยชน์ในการสอนหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างกว้างขวาง เมืองนครศรีธรรมราชได้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้ในฐานะพระเจ้าห้าร้อยชาติ ดังเช่นความนิยมที่ปรากฏการสร้างภาพชาดกเหล่านี้ประดับไว้ที่ฐานสถูป ฝาผนังอุโบสถ วิหาร เป็นต้น เพื่อให้เป็นที่สักการะของคนในชุมชนเป็นไปอย่างต่อเนื่องและการเทศน์มหาเวสสันดรชาดก (เทศน์มหาชาติ) พระสงฆ์ที่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาตามแบบอย่างลังกาก็จะนำเอาคติความเชื่อนี้เข้ามาเผยแผ่ทั้งในการสื่อธรรมด้วยศิลปกรรมและการแสดงธรรมเทศนาสั่งสอนประชาชนอยู่โดยทั่วไป
            ความสำคัญของมหานิบาตชาดกที่มีต่อการรับรู้ของประชาชนเมืองนครศรีธรรมราช  เป็นการช่วยสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับชุมชน  นอกจากพระสงฆ์จะทำหน้าที่สื่อธรรมในรูปนิทานชาดกก็ยังมีผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ลูกหลานฟัง  แม้จะเป็นผลพลอยได้เพลิดเพลินหย่อนใจ ซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกรวมกันของผู้คนในสังคม เช่น การสวดด้าน สารทเดือนสิบ เทศนามหาชาติเวสสันดรชาดก เป็นต้น  เป็นการอุทิศส่วนกุศลเพื่อสร้างบุญบารมีอย่างต่อเนื่อง
            คติความเชื่อเกี่ยวกับสั่งสมบารมีตามแนวของพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ที่มีพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราชเป็นศูนย์รวมทางจิตใจ ดังคำกล่าวว่า “ในชั่วชีวิตสักครั้งหนึ่งขอให้ได้มีโอกาสไปนมัสการพระธาตุก็ถือเป็นบุญยิ่งใหญ่ด้วยแรงศรัทธามีแก้วแหวนเงินทองติดตัวมาก็ถอดถวายแด่องค์พระธาตุด้วยหัวใจเปี่ยมสุข” การสร้างการซ่อมพระบรมธาตุเจดีย์ เจดีย์ราย พระพุทธรูป วิหารต่างๆ และทองคำที่หุ้มปรียอดพระธาตุเจดีย์มีจารึกว่าเป็นการสร้างบารมีขอให้เกิดทันศาสนาพระศรีอาริย์เมตไตรหรือพระศรีอาริย์ และจารึกบนหัวระฆังสัมฤทธิ์ จารึกหลัก น.ศ. ๑๑ (น.ศ.พิเศษ) วัดคงคาวดี อำเภอท่าศาสลา จังหวัดนครศรีธรรมราชว่า สมภารวัดคงคาวดีได้สร้างระฆังร่วมกับพระสงฆ์และทายกทายิกา  ข้าพเจ้าเกิดภพใดขอให้ยินดีในยศศักดิ์ ศีล ธรรม มีผิวพรรณผ่องใส  มีโภคทรัพย์ มีอาหารที่ดีได้รับประทาน และขอให้ข้าพเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต  เป็นต้น
            ๑๑. คติความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม
             คติความเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม  จึงเป็นปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่งในการส่งเสริมและเผยแผ่พระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ที่ได้แสดงถึงลักษณะพิเศษของพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์  เพื่อต้องการให้ผู้คนผู้ซึ่งนับถือพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ได้ประกอบแต่กรรมดีละเว้นกรรมชั่วด้วยการทำบุญให้ทาน รักษาศีลและเจริญจิตภาวนา  แนวคิดและหลักธรรมเรื่องกรรมของพระพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ ซึ่งหลักธรรมคำสอนได้ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาทั้งในพระไตรปิฎก อรรถกถา และฎีกา รวมทั้งคัมภีร์ปกรณ์พิเศษอื่นๆ ซึ่งเป็นความเชื่อเรื่องกรรมและผลของกรรม  เมื่อพระภิกษุได้นำพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์เข้ามาเผยแผ่ในเมืองนครศรีธรรมราชก็มุ่งสอนเรื่องกฎแห่งกรรม ดังที่ผู้คนภายในอาณาจักรนครศรีธรรมราชได้มีคติความเชื่อเรื่องบุญกรรมมาตั้งแต่พระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ได้เผยแผ่เข้ามาสู่เมืองนครศรีธรรมราชจนถึงปัจจุบัน
             ผู้คนภายในอาณาจักรนครศรีธรรมราชมีความเชื่อว่ากษัตริย์ผู้ปกครองนครศรีธรรมราช ดังเช่นพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชผู้ทรงสร้างพระบรมธาตุเจดีย์และทรงสร้างเมืองนครศรีธรรมราช  เจ้าหญิงเหมชาลาและเจ้าชายทนตกุมารผู้นำพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้ามาประดิษฐานบนหาดทรายแก้วเป็นผู้มีบุญหรือผู้มีบุญมาเกิด  ส่วนประชาชนผู้อาศัยอยู่ในเมืองหลวงและเมืองสิบสองนักษัตรเป็นผู้มีบุญน้อยจึงต้องมั่นทำคุณงามความดี สั่งสมบุญทานการกุศล  ส่วนผู้ที่ประสบเคราะห์ร้ายเป็นผลไม่ดีของกรรมในอดีตที่ผ่านมา เช่น คนเดินทางถูกสัตว์กัดตายหรือคนนั่งเรือไปในทะเลเรือล้มจมน้ำตายหรือถูกพายุพัดเรือล่มตาย เป็นต้น อุบัติเหตุเหล่านี้ผู้คนภายในอาณาจักรนครศรีธรรมราชมีความเชื่อว่าเป็นกรรมเก่าของพวกเขาในอดีต และในขณะเวลาเดียวกัน  ถ้ามีคนไปลักขโมยหรือปล้นจี้ถูกจับได้ขังคุก คนทั้งหลายมีความเชื่อและปลอบใจว่าเจ้าจงก้มหน้ารับกรรมไปเถอะนะ เราทำมาไม่ดี เป็นต้น
            ๑๒. คติความเชื่อเกี่ยวกับอันตรธาน  ๕ ประการ
           คติความเชื่อที่ว่าพระพุทธศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  จักดำรงอยู่นับแต่ภายหลังมหานิพพานไปจนถึง  ๕,๐๐๐ ปี  ซึ่งไม่ปรากฏหลักฐานในครั้งพุทธกาลว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มีพุทธพจน์ทรงทำนายไว้  แต่ได้ปรากฏหลักฐานอยู่ในอรรถกถาภาษาบาลี  ซึ่งมีจุดหมายในการเขียนเพื่อผดุงปริยัติศาสนาหรือการศึกษาในพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่และพัฒนาจนถึงขีดสุด  พุทธศาสนิกชนชาวเมืองนครศรีธรรมราชและชาวเมืองสิบสองนักษัตรยึดถือคติความเชื่อตามแบบอย่างลังกา
          คติความเชื่อเกี่ยวกับอันตรธาน ๕  ประการ คือ ๑. อธิคมอันตรธาน  ความเสื่อมสูญแห่งการตรัสรู้มรรคและผล  ๒. ปริยัติอันตรธาน ความเสื่อมสูญแห่งปริยัติ  ๓.  ปฏิบัติอันตรธาน ความเสื่อมสูญแห่งการปฏิบัติ  ๔. ลิงคอันตรธาน  ความเสื่อมสูญแห่งเพศพรหมจรรย์  ๕. พระธาตุอันตรธาน  ความเสื่อมสูญแห่งพระธาตุ  คติความเชื่อนี้ปรากฏชัดเจนในตำนานมูลศาสนา อันตรธาน ๕  ประการนี้จะเกิดขึ้นตามลำดับในทุกๆ หนึ่งพันปีจนครบห้าพันปี  เมื่อครบห้าพันปีพระบรมธาตุทั้งหลายจากโลกมนุษย์  เทวโลกและนาคพิภพจะเสด็จมาสู่ต้นพระศรีมหาโพธิ์สถานที่ตรัสรู้ทั้งหมดแล้วรวมตัวกันเป็นรูปของพระพุทธองค์  ทรงประดิษฐาน ณ โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์  ประหนึ่งว่าพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่  ลำดับนั้นเตโชธาตุก็เกิดขึ้นที่พระสารีริกธาตุเผาผลาญพระบรมธาตุจนหมดสิ้นสูญหายไปจากโลก เรียกว่า “พระบรมธาตุนิพพาน”  อาณาจักรนครศรีธรรมราชรับเอาคติความเชื่อนี้มาจากพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์แล้วเผยแผ่คติความเชื่อนี้จึงได้ส่งผลให้ผู้ปกครองอาณาจักร  พระภิกษุและประชาชน  มีความคิดที่จะทำหน้าที่ในการสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา  ขณะเดียวกันนิทานพระพุทธสิหิงค์ที่แต่งโดยพระโพธิ์รังสีที่มุ่งให้เกิดศรัทธาที่มีต่อการสร้างพระพุทธรูปที่ได้นำมาจากลังกาเรียกว่าพระพุทธสิหิงค์  ทรงมอบพระศาสนาอันประเสริฐไว้กับพระพุทธรูปตลอด ๕,๐๐๐ ปี
            นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าพระพุทธศาสนาจะเผยแผ่และเจริญรุ่งเรืองในดินแดนอื่นๆ สืบทอดพระพุทธศาสนาต่อจากลังกา  ดังจะเห็นได้จากข้อความในตำนานเมืองนครศรีธรรมราช  ตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราชและพระนิพพานโสตรกล่าวว่ากษัตริย์ศรีธรรมาโศกราชให้การอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาลังกาวงศ์โดยการบวชกุลบุตร  สร้างวัด  สร้างพระพุทธรูปอุทิศถวายที่กัลปนาและพระราชทานข้าพระโยมสงฆ์   ทรงให้เจ้าเมืองสิบสองนักษัตรมาร่วมสร้างซ่อมบูรณะพระบรมธาตุเจดีย์  วิหารต่างๆ และให้เจ้าเมืองเหล่านั้นส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองทองบูชาพระบรมธาตุเจดีย์ตลอดจนให้เข้าร่วมในพิธีวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร  เมืองนครศรีธรรมราช   เพื่อจะได้เรียนรู้พิธีกรรมและนำไปเผยแพร่ที่บ้านเมืองของตนเอง  ซึ่งเป็นการตื่นตัวในการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาและการแข่งขันกับขยายอำนาจทางการเมืองของอาณาจักรนครศรีธรรมราชในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘-๑๙   จึงสอดคล้องกับความเชื่อเรื่องพระพุทธศาสนา ๕,๐๐๐  ปีและอันตรธานทั้ง    ประการจึงทำให้กษัตริย์  ขุนนางและประชาชนมีความวิตกกังวลกับความเสื่อมของพระพุทธศาสนา  จึงให้มีการทำนุบำรุงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาได้ปรากฏมีการสร้างวัดเป็นจำนวนมากในอาณาจักรนครศรีธรรมราช  สร้างหอไตรเก็บพระไตรปิฎก  สร้างพระพุทธรูป พระพิมพ์เป็นจำนวนมากและศาสนาวัตถุต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการกัลปนาอุทิศที่ดิน  คนสัตว์ และทรัพย์สินสิ่งของจำนวนมากให้กับวัดภายในชุมชน เพื่อมุ่งหวังให้พระพุทธศาสนาสืบทอดตลอด ๕,๐๐๐ ปี



บรรณานุกรม
ดนัย ปรีชาเพิ่มประสิทธิ์, ๒๕๕๕, ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกา, กรุงเทพมหานคร :  
          สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.   
ธรรมทาส พานิช, ๒๕๔๒, ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาสมัยศรีวิชัย, พิมพ์ครั้งที่ ๒, กรุงเทพมหานคร :
          สำนักพิมพ์อรุณวิทยา.
ประพัฒน์ ตรีณรงค์, ๒๕๔๗, “ราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช  ตอนที่ ๒”, วารสารไทย, ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ ๙๐
          (เมษายน-มิถุนายน) : ๒๙-๓๐.    
สถาพร  อรุณวิลาศ, ๒๕๓๙, คติความเชื่อพุทธศาสนาแบบลังกากับวิถีชีวิตชุมชนเมืองสุโขทัย-ศรีสัชนาลัย, 
          ปริญญานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย  จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย.
สุรพล  ดำริห์กุล, ๒๕๔๕, รายงานวิจัยเรื่องเจดีย์ช้างล้อมกับพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ในประเทศไทย, เชียงใหม่ :
          มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.    

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น