วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

หนึ่งศตวรรษภูมิวัฒนธรรมพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย


บทความวิชาการที่ 16 โดย พระครูวรวิริยคุณ (ปราโมทย์ กลิ่นละมัย)


         พื้นที่ชุ่มน้ำ[1](wetland)ในประเทศไทยมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของชุมชนอย่างมาก  มีการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ชุ่มน้ำในชีวิตประจำวันทั้งด้านความเป็นอยู่ สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม เป็นต้น พื้นที่ชุ่มน้ำมีความสำคัญในแง่เป็นแหล่งที่รวบรวมความหลากหลายทางชีววิทยาทั้งในเชิงจำนวนองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตแหล่งพันธุกรรม เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยหากินและแพร่ขยายพันธ์พืชและสัตว์นานาชนิด มีคุณค่าความสำคัญทางเศรษฐกิจสูง เป็นแหล่งผิวน้ำและน้ำท่าใช้เพื่ออุปโภคบริโภค เป็นแหล่งทำมาหากินเลี้ยงชีพและเป็นรายได้  เป็นแหล่งทรัพยากรต่างๆ ทั้งทางเกษตรกรรม ผลผลิตพืช อาหารหลักและสินค้าออกที่สำคัญคือ ข้าว พื้นที่ชุ่มน้ำในประเทศไทยเปรียบเสมือนเป็น “อู่ข้าวอู่น้ำของไทย” เป็นแหล่งทำการประมงที่สมบูรณ์เคยเป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว”  ผลผลิตปลาเป็นอาหารโปรตีนที่สำคัญของผู้คนได้จากแหล่งน้ำทั่วไป ทั้งแม่น้ำลำคลอง ลำธารลำห้วย  หนองบึงใหญ่น้อยและผลผลิตจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เป็นแหล่งนันทนาการและการท่องเที่ยวทางธรรมชาติ  ศิลปวัฒนธรรมและแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ซึ่งมีคุณค่าความสำคัญต่อวิถีชีวิตและเอกลักษณ์ของความเป็นไทยที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสังคมไทย วัฒนธรรม ประเพณี ประวัติศาสตร์และศาสนา  
          พื้นที่ชุ่มน้ำ (wetland) ในภาคใต้ซึ่งประกอบด้วยชายฝั่งทะเลขนานกับภูเขาและที่ราบริมฝั่งทะเล พื้นที่ชุ่มน้ำประกอบด้วยแม่น้ำสายสั้นๆ ป่าพรุ ป่าชายเลน หาดเลน หาดทราย หญ้าทะเล เกาะแก่งมากมายล้วนแล้วแต่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นแหล่งนกอพยพในฤดูหนาวและเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่มีชื่อเสียงคือทะเลสาบสงขลา ซึ่งจัดเป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดสงขลา พัทลุงและนครศรีธรรมราช ปากทะเลติดต่อกับอ่าวไทยในเขตอำเภอเมืองสงขลา  มีลำคลองหลายสายไหลลงสู่ทะเลสาบแห่งนี้ ความเค็มของน้ำจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ทั้งนี้เนื่องมาจากน้ำมีการผสมกับน้ำทะเลที่ไหลข้ามาเป็นระยะๆ ทะเลสาบสงขลาแบ่งแบ่งออกเป็น 3 ตอน คือ ทะเลสาบสงขลาตอนล่าง ตั้งแต่ช่วงปากทะเลสาบไปจนถึงช่องแคบปากรอเป็นน้ำเค็ม  ทะเลสาบสงขลาตอนบนเรียกว่า ทะเลหลวง  ตั้งแต่ช่องแคบปากรอจนถึงเขตอำเภอปากพะยูนเป็นน้ำกร่อย และทะเลน้อย เป็นบึงน้ำจืดที่มีชื่อเสียงอันเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของนกจำนวนมาก มีพืชน้ำนานาชนิดขึ้นทั่วไปรอบๆ ทะเลน้อย และเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำป่าพรุผืนใหญ่ของประเทศไทย

ภูมิวัฒนธรรมพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย
         พื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย[2] ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของทะเลสาบสงขลา มีพื้นที่ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของ 3 จังหวัด คือ จังหวัดพัทลุง สงขลา และนครศรีธรรมราช (สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม, 2543 : 10-14) โดยมีอาณาเขตติดต่อคือ ทิศเหนือ จรดคลองชะอวด ทุ่งนา ป่าปรือ ป่าไม้ เสม็ดขาว ตำบลเคร็ง อำเภอชะอวด  ตำบลแหลม ตำบลควนชะลิก อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช ทิศใต้ จรดคลองปากประ ตำบลพนางตุง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ทิศตะวันออก จรดทะเลหลวง หรือทะเลสาบสงขลาตอนบน ตำบลเครียะ ตำบลบ้านขาว อำเภอระโนด  จังหวัดสงขลา และทิศตะวันตก จรดคลองคึกฤทธิ์หรือคลองขุด ฝั่งทะเลน้อยด้านตะวันตก ทุ่งนา ป่าปรือ ป่าไม้เสม็ดขาว ตำบลพนางตุง ตำบลทะเลน้อย อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ตำบลขอนหาด ตำบลนางหลง ตำบลท่าเสม็ด  ตำบลเคร็ง  อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช พื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย มีเนื้อที่ประมาณ 457 ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 285,625 ไร่ ประกอบด้วยพื้นที่ในจังหวัดพัทลุง  มีเนื้อที่ประมาณ 167 รางกิโลเมตรหรือประมาณ 104,357 ไร่ พื้นที่จังหวัดสงขลามีเนื้อที่ประมาณ 50 ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 31,250 ไร่ และพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช มีเนื้อที่ประมาณ 240 ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 150,000 ไร่ เฉพาะพื้นที่ทะเลน้อยมีพื้นที่ประมาณ 30 ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 18,750 ไร่
        ภูมิประเทศบริเวณของพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง สงขลาและนครศรีธรรมราช มีลักษณะเป็นที่ราบลุ่มหรือมีลักษณะเป็นป่าพรุน้ำจืดที่มีน้ำท่วมขังเกือบตลอดปี ประกอบไปด้วยทะเลน้อย หนอง บึง คลอง ทางน้ำ  ทุ่งนา ทุ่งหญ้า ดงลาโพ ดงกก ดงปรือ ดงกระจูด ดงกระจูดหนู และป่าไม้เสม็ดขาว มีสายน้ำจากคลองตลิ่งชันและคลองป่าพะยอม  ซึ่งต้นน้ำเกิดจากเทือกเขาบรรทัด ไหลผ่านเขตอำเภอป่าพะยอม อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ลงสู่พื้นที่ชุ่มน้ำแห่งนี้  จึงกลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่เรียกว่า ทะเลน้อย พื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย มีสภาพพื้นที่แตกต่างกันไปซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ดังนี้
        1. พื้นที่บนแผ่นดิน มีเนื้อที่ประมาณ 429 ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 268,125 ไร่ หรือร้อยละ 94 ของพื้นที่ทั้งหมดแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. ที่ราบน้ำท่วมถึง (tidal flat) เป็นพื้นที่น้ำท่วมถึงโดยมีน้ำขึ้นลงเป็นเวลาและพื้นที่บริเวณหาดโคลน  พบทางด้านทิศตะวันออกของป่าพรุ (swamp forest) พื้นที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1-2 เมตร  ความลาดชันร้อยละ 0.5 ส่วนใหญ่ในพื้นที่แห่งนี้จะพบทุ่งนาและทุ่งหญ้า  2. ป่าพรุ (swamp forest) เป็นบริเวณก้นกะทะของพื้นที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 60 เซนติเมตร ทำให้ต่ำกว่าพื้นที่อื่นๆ โดยรอบ  ซึ่งเป็นควนหรือเนินสูงเล็กน้อยและบนควนเหล่านี้จะพบทุ่งหญ้าเป็นหย่อมๆ และป่าดิบชื้นเล็กน้อย และ      3. ที่ราบ (plain) พบทางทิศตะวันตกของป่าพรุ มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 8 เมตร ความลาดชันร้อยละ 2 พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นนาข้าว สวนยาง ป่าดิบชื้น และอาจจะพบทุ่งหญ้าและป่าพรุในพื้นที่ประเภทนี้ด้วย
       2. พื้นที่บริเวณพื้นน้ำ มีเนื้อที่ประมาณ 30 ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 18,750 ไร่หรือร้อยละ 6 ของพื้นที่ทั้งหมด  โดยประมาณแล้วพื้นที่ทะเลน้อย มีความกว้าง 5 กิโลเมตร ความยาว 6 กิโลเมตร มีความลึกเฉลี่ย 1.2 เมตร พืชน้ำที่พบได้โดยทั่วไป ได้แก่ พืชลอยน้ำ หญ้าลอยน้ำ จูด (Eleocharis spp.) กกสามเหลี่ยม (Cyperus spp.) กกกลม (Scleria oryzoides) และกง (Hanguana malayanum) เป็นต้น
      ทะเลน้อยเป็นแหล่งน้ำจืดอันเป็นบึงขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเมื่อประมาณ 3,000 ปีที่ผ่านมา ครั้งนั้นเปลือกโลกชายฝั่งบริเวณนี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยการยกตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจึงทำให้ชายฝั่งทะเลแถบนี้เกิดการทับถมของดินในพื้นที่บางส่วน ภูมิประเทศแถบชายฝั่งเดิมแปรรูปร่างเป็นท้องกระทะเกิดเป็นพื้นน้ำ ซึ่งถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ทะเลน้อย ทะเลหลวง และทะเลสาบสงขลาในปัจจุบัน ทะเลน้อยมีลักษณะค่อนข้างกลม ตั้งอยู่ในเขตอำเภอควนขนุน  จังหวัดพัทลุง อยู่ทางทิศเหนือของทะเลหลวงหรือทะเลสาบตอนบน  มีคลองนางเรียม คลองบ้านกลางและคลองยวนเชื่อมต่อกับทะเลสาบสงขลาตอนบน  พื้นที่โดยรอบประกอบด้วยส่วนที่เป็นป่าเสม็ด อยู่บริเวณทางด้านทิศเหนือ  ส่วนที่เป็นป่าจูด  ส่วนใหญ่อยู่ทางด้านทิศเหนือ ทิศตะวันออกและในที่ลุ่มโดยทั่วไป  ส่วนที่เป็นนาข้าว เป็นทุ่งกว้างอยู่ทางทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตกเฉียงเหนือ  และส่วนที่เป็นทุ่งหญ้า ส่วนใหญ่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงในฤดูฝน และทะเลน้อยในส่วนที่เป็นพื้นผิวน้ำ  มีพืชน้ำนานาชนิดขึ้นเจริญงอกงามและอุดมสมบูรณ์ไปด้วนพันธุ์สัตว์น้ำ  ด้วยเหตุนี้ ทะเลน้อยน้ำเกือบจะจืดสนิทและมีอาหารอุดมสมบูรณ์  จึงทำให้เป็นแหล่งที่รวมของนกนานาพันธุ์  ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของทะเลน้อยนี้ จึงทำให้ผู้คนที่อยู่ในชุมชนอื่นๆ ได้อพยพย้ายถิ่นเข้ามาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนขึ้นรอบๆ ทะเลน้อย เพื่อเข้ามาจับจองสถานที่ทำกินและใช้ทรัพยากรธรรมชาติ จึงทำให้เกิดหมู่บ้านขึ้นเรียกว่า หมู่บ้านทะเลน้อย  หมู่บ้านเหล่านี้ประกอบด้วยจำนวน 5 หมู่บ้าน ในตำบลทะเลน้อยและตำบลพนางตุง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง วิถีชีวิตของคนไทยในพื้นที่ลุ่มน้ำมีความชัดเจนมาตลอดในประวัติศาสตร์ความเป็นชาติเกี่ยวกับการรู้จักการพัฒนาแหล่งน้ำและการนำน้ำมาใช้ประโยชน์ในการเกษตรที่เป็นอาชีพหลักของคนทั้งชาติเดิมหรือของคนไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน จึงเป็นที่ทราบกันดีว่า “ทรัพยากรน้ำกับวิถีชีวิตไทย” เป็นสิ่งที่แยกไม่ออก เพราะน้ำเป็นทรัพยากรหรือปัจจัยพื้นฐานหลักในการดำรงชีวิต การพัฒนาสังคม  เศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศและชุมชนในทุกพื้นที่  โดยเฉพาะในแหล่งสร้างสมอารยธรรมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งสังคมไทยที่ได้รับสมญานามหรือรู้จักกันทั่วไปว่าเป็นสังคมน้ำ (Hydraulic Society) หรือ (Hydrographic Society) และเป็นสังคมที่มีชีวิตผูกขาดกับการปลูกข้าว (Rice Monopoly Culture) ทางภูมิศาสตร์ที่ได้เปรียบและเอื้อหรือสนับสนุนอย่างชัด โดยเฉพาะกายภาพของพื้นที่เป็นพื้นที่ลุ่มน้ำ (Watershedหรือcatchment are as)   
 การตั้งถิ่นฐานของชุมชนพื้นที่ชุมน้ำทะเลน้อย
          ชุมชนที่ตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย ประกอบด้วยชุมชนในอำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง อำเภอ
ชะอวด อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา
โดยผู้คนจากละแวกใกล้เคียงของ 3 จังหวัดดังกล่าวได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน  ชุมชนส่วนใหญ่ผู้คนอาศัยอยู่มานานหลายชั่วอายุคนแล้ว และบางชุมชนผู้คนพึ่งเข้ามาตั้งถิ่นฐานประมาณ 60 กว่าปี เช่น ชุมชนบ้านป่าเขียว เป็นต้น การตั้งบ้านเรือนในแต่ละชุมชนจะเรียงรายไปตามแนวสองข้างทางของถนนที่ตัดผ่านและตามแนวลำน้ำ  โดยอาศัยอยู่เป็นหย่อมๆ ชุมชนเหล่านั้นใช้ภาษาไทยภาคหรือปักษ์ใต้ เป็นภาษาพูดในชีวิตประจำวัน ยังเคร่งครัดกับขนบธรรมเนียม ประเพณี และการปฏิบัติตนตามหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ประเพณีที่ชุมชนให้ความสำคัญมาก ได้แก่ วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา วันสารทเดือนสิบ วันชักพระ วันขึ้นปีใหม่ วันสงกรานต์ เป็นต้น พื้นที่ชุ่มน้ำมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของชุมชนอย่างมาก ซึ่งมีการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ชุ่มน้ำร่วมกันในชีวิตประจำวันทั้งด้านความเป็นอยู่ สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม เป็นต้น การตั้งถิ่นฐานบ้านเมืองจึงมักเกิดขึ้นตามลำน้ำเล็กๆ และพื้นที่รับน้ำที่เป็นหนองบึงแทน  เพราะหนองบึงตามธรรมชาตินั้นตามฤดูกาล (Season) ก่อให้เกิดพื้นที่สามอย่างขึ้นคือ พื้นที่ลาดต่ำที่มีลำน้ำและไหลแผ่ (Sheet) ลงมาสู่หนองบึง  พื้นที่เช่นนี้เหมาะกับการตั้งแหล่งชุมชนทั้งบ้านและเมือง เพราะเป็นพื้นที่น้ำท่วมไม่ถึงในยามปกติ พื้นที่ถัดไปคือพื้นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงฤดูฝนแต่แห้งในฤดูแล้ง  จนสามารถทำการเพาะปลูกข้าวได้ และพื้นที่อย่างที่สามคือ พื้นที่น้ำขังที่เป็นพื้นที่น้ำลึกของหนองและบึง  แม้จะมีน้ำขังก็ไม่ขังแบบนิ่งจนเน่า  เพราะมีการผ่องถ่ายลงสู่ลำน้ำใหญ่ในฤดูฝน ฤดูน้ำ จะนิ่งเพียงฤดูแล้ง  สภาวะความนิ่งเช่นนี้ทำให้เกิดวัชพืชและสัตว์น้ำ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ กุ้ง หอย ปู ปลานานาชนิด อันเป็นอาหารแก่คนในฤดูแล้ง
        ชุมชนที่ตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย จำนวนรวม 50 หมู่บ้าน เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่เกือบทั้งหมด  โดยมีขนาด 200 ครัวเรือนขึ้นไป จำนวน 11 หมู่บ้าน มีขนาด 100-199 ครัวเรือน จำนวน 27 หมู่บ้าน และที่เหลืออีก 12 หมู่บ้าน มีจำนวนครัวเรือนน้อยกว่า 100 หลังคาเรือน รวมครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นชุ่มน้ำทะเลน้อยทั้งสิ้น 7,813 ครัวเรือน คิดเป็นประชากรประมาณ 37,662 คน จำแนกเป็นผู้ชายประมาณ 18,007 คน หญิงประมาณ 19,655 คนสัดส่วนของเพศชาย : หญิง เท่ากับ 0.92 และมีจำนวนสมาชิกในครัวเรือนเฉลี่ย 4.8 คน โดยในปี พ.ศ.2542 มีการย้ายถิ่นเข้าจากทั้ง 50 หมู่บ้าน รวม 174 คน และย้ายถิ่นออกรวม 204 คน ซึ่งเหตุผลหลักของการย้ายถิ่นเป็นการย้ายติดตามครอบครัวหรือคู่สมรสและการย้ายถิ่นเพื่อไปหางานทำหรือประกอบอาชีพ
        ชุมชนบ้านทะเลน้อยเป็นหมู่บ้านหนึ่งอยู่ในตำบลพนางตุง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ตำนานบ้านทะเลน้อยกล่าวว่า เดิมบ้านทะเลน้อยตั้งอยู่ที่บ้านกล้วยและบ้านกลาง เมื่อแรกเริ่มตั้งหมู่บ้านก็ประสบปัญหาเรื่องโจรผู้ร้ายและบ้านเป็นที่ราบลุ่มน้ำท่วมทุกปี จึงต้องอพยพย้ายหมู่บ้านมาทางทิศเหนือที่บ้านทะเลน้อยในปัจจุบันนี้ การปรับเปลี่ยนพื้นที่ทางภูมิประเทศให้เป็นภูมิวัฒนธรรมด้วยการกำหนดเอาชื่อเทือกเขา ควนหรือภู โคกเนิน หุบแช่ง ปลัก ลำห้วย หนอง บึง เป็นต้น ให้มีชื่อเสียงเป็นที่รับรู้ของคนในท้องถิ่นเป็นสัญลักษณ์และเครื่องหมายการอยู่ร่วมกันทางสังคม เศรษฐกิจและการเมือง ทะเลน้อยเป็นลักษณะภูมิวัฒนธรรมที่มีความสัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานหรือการตั้งชุมชนบ้านเมืองของผู้คนในท้องถิ่นจนเป็นที่รู้จักกัน จึงได้กำหนดนามชื่อสถานที่แห่งนี้ให้เป็นที่รู้จักในลักษณะที่เป็นแผนภูมิหรือแผนที่เพื่อสื่อสารถึงกันโดยการสร้างตำนานขึ้นมาอธิบายถึงความเป็นมาความหมาย ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ สังคม เศรษฐกิจ และสังคม ตำนานเหล่านั้นมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรและการบอกเล่าความทรงจำถ่ายทอดจากคนรุ่นเก่าไปสู่คนรุ่นใหม่หรือคนในท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง  มีตำนานเล่าต่อกันมาว่า เมื่อสมัยที่ทะเลน้อยยังไม่เป็นทะเล บริเวณนี้เป็นป่าดงตะเคียนและมีพรุอยู่ทั่วไป ผู้คนได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ทางทิศใต้ของบ้านทะเลน้อย ปัจจุบันเรียกชื่อว่า บ้านกล้วยและบ้านกลาง  ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าครั้งที่ 2 ปี พ.ศ.2310 พระเจ้าตากสินทรงกู้เอกราชตั้งกรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวง ทรงทราบว่าที่บ้านทะเลน้อยมีป่าต้นตะเคียนอยู่เป็นจำนวนมาก ทรงสั่งให้เจ้าเมืองพัทลุงต่อเรือรบขึ้นเป็นจำนวนมาก เพื่อส่งเข้าไปยังเมืองหลวง  จึงได้เกณฑ์ราษฎรมาตัดไม้ตะเคียนเพื่อนำไปต่อเรือ  สถานที่ต่อเรือในครั้งนั้นเล่ากันว่าคือบริเวณที่วัดป่าเลไลย์ ตำบลลำปำและวัดเขียนบางแก้ว ตำบลจองถนน จังหวัดพัทลุงในปัจจุบัน  พอถึงฤดูแล้งน้ำในพรุแห้งไม้ตะเคียนที่ตัดทิ้งไว้ก็แห้ง  ซึ่งต่อมาได้เกิดไฟป่าหรือคนอาจจุดไฟขึ้นขึ้นก็ได้ ไฟได้ไหม้ป่าดงตะเคียนจนกลายเป็นทุ่งโล่ง  เมื่อถึงฤดูฝนฝนก็ตกหนักน้ำได้ไหลลงไปรวมกันในดงตะเคียนและน้ำได้พัดพาโคลนตมไปทางทิศใต้ทับถมบ้านกล้วยและบ้านกลาง  ผู้คนจึงได้อพยพบ้านเรือนขึ้นไปตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของทะเลน้อยคือ บ้านทะเลน้อยในปัจจุบัน 

ความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลน้อย
        ทะเลน้อยเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำที่ประกอบด้วยป่าพรุน้ำจืดที่มีน้ำท่วมขังเกือบตลอดทั้งปีและหนองน้ำ  ทะเลน้อยเป็นอ่างเก็บน้ำตามธรรมชาติขนาดใหญ่ที่มีลักษณะค่อนข้างกลม มีเนื้อที่ประมาณ 30 ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 18,750 ไร่ หรือมีขนาดกว้างประมาณ 5 กิโลเมตร ยาวประมาณ 6 กิโลเมตร ต้นน้ำของทะเลน้อยมาจากเทือกเขาบรรทัด ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของทะเลน้อย  โดยไหลผ่านลำคลองป่าพยอมและลำคลองตะลิ่งชันลงสู่ทะเลน้อยและน้ำจากทะเลน้อยไหลผ่านคลองนางเรียมและคลองบ้านกลางลงสู่ทะเลสาบสงขลา  ส่วนคลองยวนได้ตื้นเขินไปแล้ว  พื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย กลุ่มอนุรักษ์พื้นที่ชุมน้ำทะเลน้อยต้องการอนุรักษ์นกที่อพยพ เพราะนกนี้ที่อพยพมีความจำเป็นจะต้องใช้พื้นที่ที่จะลงฟัก สะสมอาหารและบินต่อไป จุดเด่นของทะเลน้อยคือ นก หลายสิบปีก่อนครั้งที่ยังไม่ประกาศเป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่พักผ่อนอันมีชื่อในหมู่ข้าราชการหนุ่มจากจังหวัดพัทลุง สงขลา และนครศรีธรรมราชเข้ามาซ้อมมือล่านกชนิดต่างๆ ในวันหยุด จนในที่สุดกลุ่มชาวบ้านก็ได้รวมตัวกันขึ้น เพื่อเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหา  ซึ่งนำไปสู่การประกาศเป็นเขตห้ามล่าสัตว์แห่งแรกของประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ.2518
        ทะเลน้อยมีนกเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ ในพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย ถ้านกอยู่ได้คนก็จะได้ประโยชน์ ความอุดมสมบูรณ์ก็มีกุ้ง หอย ปู ปลา สัตว์น้ำนานาชนิด และพืชผักน้ำต่างๆ สิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อสัตว์อื่นๆ อีกด้วย การที่มีการปรับเปลี่ยนระหว่างน้ำแห้ง ฤดูน้ำมาก น้ำท่วมจะมีอิทธิพลต่อการอพยพของปลาที่สามารถแพร่ขยายพันธุ์ได้  ในขณะเดียวกันความอุดมสมบูรณ์ที่เกิดจากการมีปลามากในแหล่งน้ำต่างๆ หรือพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อยนี้ จึงทำให้นกที่อพยพมีอาหารกิน อันเป็นวัฎจักรธรรมชาติที่เป็นประโยชน์ต่อระบบนิเวศที่ทำให้คนได้อาหารรับประทาน จากการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติจากน้ำหลาก น้ำแห้งแล้วกลับมามีน้ำหลาก น้ำขังน้ำท่วม เพราะว่าเป็นวัฏจักรของสัตว์น้ำหลายๆ ชนิดไม่ว่าจะเป็นกบ เขียด กุ้ง หอย ปู ปลา ต้องการวัฏจักรนี้ ปลาเวลาวางไข่จะถูกกระตุ้นด้วยการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลและอุณหภูมิของน้ำ คลองปากระวะเป็นทางน้ำเชื่อมระหว่างทะเลสาบสงขลากับทะเลอ่าวไทยและมีบทบาทสำคัญในการถ่ายเทน้ำเค็มเข้ามาในทะเลน้อย น้ำทะเลที่ผ่านเข้ามาทางคลองปากระวะเปรียบเทียบได้กับลมปราณของทะเลสาบสงขลาทั้งระบบ เพราะได้นำเอาตัวอ่อนของพืชพันธุ์สัตว์น้ำนานาชนิดเข้ามาเติบโตหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตที่อิงอาศัยอยู่กับทะเลสาบ อีกทั้งได้ทำให้เกิดกระแสการหมุนเวียนของระบบน้ำในทะเลสาบและทะเลน้อย วงจรน้ำเค็มและน้ำจืดได้กวาดล้างฟอกชำระวัชพืช ผักตบชวา ซึ่งแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วให้ถูกทำลายไปตามธรรมชาติเมื่อถึงช่วงน้ำเค็มเข้า ดังคำกล่าวของคุณตาผ่อง เดชนครินทร์ คนเฒ่าทะเลน้อยวัย 86 ปีว่า
       “เมื่อถึงฤดูมรสุมน้ำทะลักจากบนเขาทางเหนือ ไปลงทะเลสาบ ชาวบ้านเรียกน้ำมันเดินไปทางใต้ พัดเอาผักตบชวา ซัดเอาตะกอนไปกับสายน้ำ  ออกทะเลอ่าวไทยหรือขึ้นฝั่งไปหมดแล้ว เวลาน้ำกร่อยน้ำเค็มข้ามาช่วง 3 เดือน ผักตบชวาก็ตาย สาหร่ายก็เปื่อย ทะเล(น้อย)ลึกเหมือนเดิม แต่ก่อนทะเลมันเตียน พื้นทะเลดินเกือบแข็ง บางแห่งไม่มีโคลนตม พอปิด(คลอง)ปากระวะ ทะเลน้อยรกขึ้น  เพราะว่าน้ำกร่อยน้ำเค็มไม่เข้า พืชน้ำเลยมีมาก ไม่มีน้ำเค็มเข้ามาทำลายแล้ว ทะเลน้อยก็รับน้ำจากคลองต่างๆ ที่ไหลมาจาก(เทือกเขา)บรรทัด เวลาตะกอนมาจากข้างบนก็ติดพืชน้ำ เช่น จูดหนู ผักตบชวา มาติดอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน เดียวนี้ทะเลน้อยตื้น มีโคลนมาก ตะกอนสะสมลงอยู่ทุกปี”
        เมื่อปิดปากคลองระวะ เพื่อไม่ให้น้ำเค็มเข้าทะเลสาบมาจนถึงปัจจุบัน จึงทำให้ทะเลน้อยมีน้ำจืดตลอดทั้งปี ส่งผลให้พืชพันธุ์เปลี่ยนแปลงและวัชพืชขึ้นหนาแน่น  เพราะไม่มีน้ำกร่อยเข้ามาทำลาย การเปลี่ยนแปลงของระบบน้ำจึงได้ส่งผลตามมาเป็นห่วงโซ  เพราะเมื่อน้ำเปลี่ยนแปลงก็จะทำให้พืชพันธุ์เปลี่ยน คนเปลี่ยน ชุมชนเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน ทุกวันนี้ทะเลน้อยจึงได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
       ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อยในอดีต มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า ท้องทุ่งไพศาลบริเวณเหนือทะเลสาบสงขลา แถบบริเวณทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง บ้านขาว บ้านหัวป่า บ้าน    เครียะ อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา เคยมีช้างป่านับร้อยๆ ตัว เที่ยวหากินอยู่ตามพรุและทุ่งหญ้า ชอบกินหญ้ากก หญ้าปรือเป็นอาหารและเล่าอีกด้วยว่า ช้างเหล่านี้มีทั้งช้างใหญ่ ช้างขนาดเล็ก บางคนว่าตัวใหญ่กว่าควายไม่มากนัก ชาวบ้านเรียกว่าช้างพรุ ช้างแกลบ ช้างแคระหรือช้างค่อม ดังเรื่องเล่าของคุณตาผ่อง เดชนครินทร์ว่า
    “เมื่อก่อนช้างมีมากจริงๆ มันเข้ามากินข้าวในนา ต้องยิกไล่ ยิกก็จุดคบเพลิง เอาไปไล่ให้มันออกไปจากข้าว ตัวมันใหญ่เท่าๆ ช้างเดี๋ยวนี้ แต่น่าเรียกช้างพรุหรือช้างทุ่งน่าจะถูกกว่า มันอยู่ตามในพรุ กลางวันมันเข้าไปอยู่ในป่า พอกลางคืนมันออกมากินหญ้า  โดยเฉพาะข้าวมีรวง ข้าวเกือบจะสุกหรือข้าวสุกแล้วนี่ ช้างชอบมาก แห่ลงมาชาวบ้านต้องไปยิกไปไล่ จุดคบไล่มันกลัว ช้างเคยมีเป็นร้อย ถ้าลงมามากๆ ยิ่งไล่ง่าย ผิดกับไอ้ช้างตัวเดียว ช้างตัวเดียวนี้ยิกยาก มันสู้กับคน  แต่ช้างทั้งฝูง ถ้ามันวิ่งไปสักตัวก็วิ่งตามไปหมด มันตื่นเต้นไปกับเพื่อน”
          การตั้งถิ่นฐานของผู้คนที่ขยายลึกเข้าไปในท้องทุ่งบริเวณรอบๆ ทะเลน้อย การป้องกันพืชผลจากช้าง ทำให้ชาวบ้านพากันขับไล่ช้าง  จนช้างหมดไปจากทุ่งทะเลน้อยและอำเภอระโนด ประมาณก่อนปี พ.ศ.2500 ช้างรอบทะเลสาบสงขลา  ดังปรากฏอยู่ในเพลานางเลือดขาวหรือตำนานนางเลือดขาวว่า
       “...ตาสามโมกับยายเพชรสองผัวเมียเป็นหมอสดำ[3] จับช้างป่ามาเลี้ยงส่งส่วยให้เจ้าพระยากรุงสทิงพาราณสีทุกปี ตาสามโมกับยายเพชรได้เลี้ยงช้างไว้ 2 เชือก คือ ช้างพังตลับ มีหมอควาญช้างชื่อ นายสีเทพ และช้างพลายคชวิไชยมณฑล มีหมอควาญช้างชื่อ นายแก่นมั่นคง...” และต่อมา “...เมื่อตายายถึงแก่กรรมกุมารกับนางเลือดขาวได้รับมรดกจากตายายมีหน้าที่ส่งส่วยช้างให้แก่กรุงศรีอยุธยาปีละ 1 เชือก...”
      การที่เคยมีช้างอาศัยอยู่มากรอบทะเลสาบสงขลาและในพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย  สถานที่แห่งนี้มิได้มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยนก ปลา และพืชพันธุ์เท่านั้น แต่ยังมั่งคั่งบริบูรณ์เพียงพอที่จะบำรุงเลี้ยงช้างทั่วทุ่งพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย  ส่วนปลาและจระเข้ก็ปรากฏมีอยู่เป็นจำนวนมากในทะเลน้อย (บัญชา เฉลิมชัยกิจ, 2543 : 270) ดังคำบอกเล่าของคุณยายสุ่น เดชนครินทร์ว่า
    “สมัยหกสิบกว่าปีก่อน ตอนยายรุ่นๆ ของกินเต็มหมด อยู่สบายลูกเอยบริบูรณ์ทุกอย่าง กุ้ง หอย ปู ปลา เมื่อก่อนปลามาก ปลาตุ่ม ปลาพรมมันมาร้องให้กินถึงข้างบ้าน เสียงอื๊ดอืด อื๊ดอืด เอาเรือออกไปมันมาร้องอยู่ตามใต้เรือ มันมีเยอะเดียวนี้หมดไปเลย ปลาตุ่มมันอร่อยนะลูก ยอดสุดของทะเลน้อยที่อื่นสู้ไม่ได้ ปลาทะเลน้อยกินดีกว่าปลาทะเลสาบ เพราะอาหารในทะเลน้อยสมบูรณ์ ถึงปลาตัวเท่าๆ ทะเลสาบ แต่กินอร่อยกว่ามันกว่ามาก เดียวนี้ไม่มีเลย ปลาตุ่ม ปลาพรมสูญหมด...”
      ทะเลน้อยเคยมีจระเข้จริงๆ ปลาสมบูรณ์จระเข้จึงมีมาก ตอนรัชกาลที่ 5 เสด็จทะเลน้อยเมื่อ รศ.108 (ปี พ.ศ.2433) ก็ยังมีคนจับจระเข้มาให้ดู พระองค์ทรงบันทึกไว้ว่า “เวลาบ่ายลงไปดูจระเข้ที่เขาวางตะกางได้ในท้องทะเล เป็นจระเข้ย่อมๆ ยาว 7 ศอก แต่ยังทำฤทธิ์เดชได้บ้างหง่อยๆ ลากขึ้นมาดูบนหาดได้” สมัยก่อนจระเข้ไม่กินคนแต่มีกัดบ้างไม่ถึงตาย คนที่โดนจระเข้กัดก็จะรักษาหมอบ้านๆ โดยมารักษาที่วัดทะเลน้อย ซึ่งมีพระเป็นหมอรักษาแผลรักษากระดูกคนที่ถูกจระเข้ได้ดี คุณตาผ่อง เดชนครินทร์ว่า
  “เมื่อก่อนปลามาก จระเข้ก็มากไปด้วย จระเข้ที่นี่ไม่ทำร้ายคน ของกินสมบูรณ์เพียงพอ เดิมจระเข้เยอะมาหมดเมื่อราว 60 ปีก่อน สมัยหนังจระเข้แพง คนล่าเอาหนังขาย มีพ่อค้ามารับซื้อส่งไปขายทางเมืองนคร(ศรีธรรมราช) เวลาล่าจระเข้จะใช้ “นกปล่อย” คล้ายๆ ปฏักของคนภาคกลาง แต่มีเงี่ยงผูกกับเชือกยาวไว้รัดตัวจระเข้ ต้องแทงไปบนต้นคอไม่ให้หนังเสีย จระเข้หมดไปนานมาก นานจริงๆ”
          ทะเลน้อยเคยมีจระเข้อาศัยอยู่ชุกชุมมาก  โดยเฉพาะคลองนางเรียม ซึ่งเป็นคลองน้ำไหลจากทะเลน้อยลงสู่ทะเลสาบสงขลามีความยาวประมาณ 2 กิโลเมตร ชาวบ้านใช้คลองนี้เป็นทางสัญจรระหว่างทะเลน้อยกับหมู่บ้านที่อยู่ริมทะเลสาบทั้งสองฝั่ง คลองนางเรียมเป็นคลองที่มีจระเข้ชุกชุมเช่นกัน ปัจจุบันจระเข้ทะเลน้อยจึงกลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานสู่กันฟังเช่นเดียวกันกับจระเข้คลองนางเรียมจึงกลายเป็นตำนานทวดนางเรียม ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทวดาประจำถิ่น สถิตอยู่ให้ผู้คนกราบไหว้ที่ศาลาคลองนางเรียม
        ทะเลน้อยมีจุดเด่นและสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ คือ นก พื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อยมีระบบนิเวศที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีความสำคัญอย่างอีกแห่งหนึ่ง  โดยเฉพาะในแง่ที่เป็นแหล่งพักพิงของนกอพยพในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ตลอดจนเป็นถิ่นที่อยู่อาศัย แหล่งอาหาร และแหล่งสืบพันธุ์ของนกน้ำนานาชนิด ในปี พ.ศ.2521 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยได้สำรวจพบนกประมาณ 217 ชนิด ส่วนใหญ่เป็นนกน้ำ เป็นนกประจำถิ่นอย่างน้อย 121 ชนิด นกอพยพที่มิใช่เพื่อการผสมพันธุ์ 85 ชนิด นกที่อพยพผ่านตามฤดูกาล 11 ชนิด เช่น นกยางไฟหัวเทา (Ixobrychus eurhythmus) เหยี่ยวหัวดำ (Milvus migrans) นกซ่อมทะเลอกแดง (Limnodromus semipalmatus) เป็นต้น นกอพยพเพื่อการผสมพันธุ์ 1 ชนิด ได้แก่ นกแอ่นทุ่งใหญ่ (Glareola maldivarum) เป็นที่อยู่อาศัยของนกที่อยู่ในสถานภาพถูกคุกคามของโลก (globally threatened) ได้แก่ นกหัวโตมลายู (Charadrius peronii) เหยี่ยวเล็กตะโพกขาว (Polihierax insignis) นกตะกรุม (Leptoptilos javanicus) เป็ดดำหัวดำ (Aythya baeri) นกกระทุง (Pelecanus philippensis) ชนิดที่อยู่ในสถานภาพใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (critically endangered) ของประเทศไทย เช่น นกตะรุม นกกระทุง และเหยี่ยวปลาใหญ่หัวเทา (Ichthyophaga ichthyaetus) ชนิดที่อยู่ในสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ (endangered) ได้แก่ นกกระสานวล (Ardea cinerea) นกกระสาแดง (A.purpurea) นกกาบบัว (Mycteria ceucocephala) นกช้อนหอยขาว (Threskiornis melanocephalus) เหยี่ยวดำ (Milvus migrans) เหยี่ยวปลาเล็กหัวเทา (Icthyophaga nana) นกหัวโตมลายู (Charadrius peronii) และนกทะเลขาเขียวลายจุด (Tringa guttifer) ชนิดที่อยู่ในสถานภาพมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ (vulnerable) ได้แก่ เหยี่ยวเล็กตะโพกขาวและชนิดที่อยู่ในสถานภาพใกล้ถูกคุกคาม (near threatened) ได้แก่ นกยางลายเสือ (Gorsachius melanolophus) นกยางไฟหัวเทา (Ixobrychus eurhythmus) เป็ดลาย (Anusquerquedula) นกออก (Haliaeetus leucogaster) นกอีลุ้ม (Gallicrex cinerea) นกเงือกกรามช้าง (Rhyticeros undulatus) นกแอ่นกินรัง (Aerodramus fuciphagus) นกแอ่นหางสี่เหลี่ยม (A. maximus) และนกจาบธรรมดา (Ploceus phillippinus) นกที่พบมากที่สุด ได้แก่ นกยาง (Egretta spp.) พบประมาณ 5,000 ตัว รองลงมา ได้แก่ นกกาน้ำเล็ก (Phalacrocorax  niger) นกกระสาแดงและเป็ดแดง (Dendrocygna javanica) ในพื้นที่เกษตรกรรมพบนกหลากหลายชนิดที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนกอพยพ รองลงมาเป็นบริเวณขอบบึงของทะเลน้อย สำหรับบริเวณผืนน้ำเปิดโล่งของทะเลน้อยและควนขี้เสี้ยนพบจำนวนชนิดของนกค่อนข้างน้อย แต่นกบางชนิดมีจำนวนมาก  โดยเฉพาะบริเวณควนขี้เสี้ยนที่เป็นพื้นที่ป่าเสม็ด มีนกมาอยู่รวมกันมากกว่า 10,000 ตัว ในฤดูอพยพและเป็นที่สร้างรังวางไข่ของนกอย่างน้อย 5 ชนิด ได้แก่ นกกาน้ำเล็ก นกกระสาแดง และนกยางเปีย (Egretta garzetta) เป็นต้น
การผลิตและการดำเนินชีวิตของชุมชนพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย
          การทำนาในพื้นที่ทะเลน้อย ผู้คนในพื้นที่ชุมน้ำทะเลน้อยประกอบอาชีพทำนา 4,771 ครอบครัว ร้อยละ 61.1 ของครอบครัวทั้งหมด มีพื้นที่ทำนารวมประมาณ 152.11 ตารางกิโลเมตร ประมาณ 95,257 ไร่ จำแนกเป็นพื้นที่นาในพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อยประมาณ 65.30 ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 40,809 ไร่ และนอกพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อยประมาณ 82 ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 51,257 ไร่ มีหมู่บ้าน 15 แห่ง  คิดเป็นร้อยละ 30 ของหมู่บ้านทั้งหมด สามารถทำนาปีละ 2 ครั้ง และบ้านควนทะเลโม่ง อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช สามารถทำนาได้ถึงปีละ 3 ครั้ง เนื่องจากมีน้ำเพียงพอจากชลประทาน ในอดีตประมาณสี่สิบปีที่ผ่านมา คนทะเลน้อยปลูกข้าวในทะเลน้อยมานานเรียกว่า ข้าวนาปรัง ซึ่งเป็นการปลูกข้าวรากแห้ง ด้วยการดำข้าวลงไปในนา ข้าวที่นิยมปลูกกันในทะเลน้อย ได้แก่ ข้าวพันธุ์สังหยุด จำปาทอง นางควาย  ปิ่นแก้ว[5] ซึ่งมีทุกพันธุ์ข้าวที่นำมาปลูกในนาทะเลน้อย  ดังที่พระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่ 5 เสด็จแหลมมลายู เมื่อ ร.ศ. 108 (ปี พ.ศ.2433) บันทึกว่า “ให้คนไปดูที่ทะเลน้อยแขวงเมืองนครศรีธรรมราชระยะ 2 ช.ม. น้ำตื้นเรือไฟเข้าไปไม่ได้ ต้องลงเรือเล็กเข้าคลองนางเรียมไปอีก 25 มินิท ถึงในนั้นที่มีดอกบัวหลวงสีขาว แต่น้ำตื้นจนราษฎรทำนาในทะเลได้” และดังคำบอกเล่าของคุณยายสุ่น เดชนครินทร์ว่า
     “ทำนากันในทะเลน้อยเลยละลูก ทำกันมากแถวชายฝั่ง นาในเลไม่ต้องไถ มีสาหร่ายก็คุ้ยสาหร่าย เอาต้นกล้าลงไปดำได้เลย เวลาเป็นรวงจะเสมอหัว ต้นสูงมาก หน้าเก็บข้าวต้องพาเรือ เอาเชือกผูกเรือไว้ที่เอว น้ำจะสูงเทียมเอว ยายใช้แกะเก็บทีละรวง พอเก็บได้ก็โยนใส่เรือ ต่อมาก็เลิกปลูกกันไปเพราะสาหร่ายทะเลรกมาก ทำไม่ได้แล้ว อีกอย่างทำนาบนบกได้ผลแน่นอนกว่า นาในเลน้อยผลไม่แน่นอน ไม่ต้องไถไม่ต้องคราดก็จริง แต่ไม่ใช่ไปถึงทำได้นะลูก เราต้องลงซังปักไว้กันคลื่น คล้ายๆ รั้วกั้นคลื่น ไม่ให้คลื่นสาดถึงต้นกล้าที่ดำลงใหม่ๆ หลุดไปก็จะเสียหาย”
          การทำนาในทะเลน้อยก็ได้เลิกไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ตั้งแต่ทางราชการได้ทำเขื่อนกั้นปิดปากคลองระวะที่อำเภอระโนด เมื่อประมาณ 40 กว่าปีที่ผ่านมา น้ำในทะเลน้อยไม่เหมือนเดิมทำนาไม่ได้เพราะเกิดสาหร่ายมาก ทะเลจึงรกไปด้วยสาหร่ายและทำนาบนบกได้ผลดีกว่าและแน่นอนอีกด้วย จากนั้นมาชาวบ้านทะเลน้อยจึงทำนารอบๆ ทะเลน้อย
          การปลูกและเก็บกระจูดในบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย ชุมชนที่ปลูกและเก็บกระจูดมีประมาณ 1,579 ครอบครัว คิดเป็นร้อยละ 20.2 ของครอบครัวทั้งหมด หรือประชากรประมาณ 3,689 คน ที่ปลูกและเก็บกระจูด ส่วนใหญ่เป็นครัวเรือนที่อาศัยอยู่ในเขตอำเภอควนขนุน อำเภอชะอวด และบางส่วนในอำเภอระโนด พื้นที่ปลูกกระจูดประมาณ 12.18 ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 7,614 ไร่ จำแนกเป็นพื้นที่ปลูกกระจูดในพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อยประมาณ 11.51 ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 7,194 ไร่ และนอกพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อยประมาณ 0.972 ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 420 ไร่ มีการปลูกกระจูดมากที่บ้านไสกลิ้ง บ้านบน (ออก) หมู่ 3 หมู่ 4 บ้านบน หมู่ 5 บ้านไสท้อน บ้านควนยาว  หมู่ 1 บ้านควนยาว  หมู่ 3 บ้านควนเคร็งและบ้านไสขนุน
          คนประกอบอาชีพสานกระจูดในพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย มีประมาณ 2,894 หลังคาเรือน ประมาณร้อยละ 37 ของครอบครัวทั้งหมดหรือประชากรประมาณ 6,507 คน หมู่บ้านที่ผู้คนสานกระจูดมากได้แก่ บ้านพนางตุง หมู่ 1 บ้านท่าช้าง บ้านไสกลิ้ง บ้านทะเลน้อย หมู่ 1 และหมู่ 2  บ้านบน(ออก) หมู่ 4 บ้านบน หมู่ 5 บ้านไสท้อง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง  บ้านควนยาว หมู่ 1 บ้านไทรหัวม้า บ้านควนยาว หมู่ 3 บ้านควนเคร็ง บ้านทุ่งใคร บ้านควนราบ บ้านใสขนุน อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช และหัตถกรรมสานกระจูดที่มีการทำมากที่บ้านบ้านล่องลมและบ้านขาว อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ดังคำบอกเล่าของคุณยายสุ่น เดชนครินทร์ว่า
       “คนเลน้อยสานสาด(เสื่อ)กันมาก ทำเป็นทุกบ้าน จูดให้ทำสาดต้องจูดตะเคร็งพันธุ์เดียว แต่ว่าเราเอามาปลูกที่นี่ คนสานสาดกันมาเป็นร้อยปี ตั้งแต่สมัยไหนไม่รู้แต่ตอนยายสุ่นเด็กๆ เขาสานมาแล้ว คนอายุ 80 ปี 100 ปี เขาบอกเกิดมาก็เห็นสานสาดมาแล้ว เมื่อก่อสานสาดขายแต่ไม่มาก โดยมากเป็นกระสอบเขาเรียกสอบนอน ลักษณะเป็นถุงลงไป ก้นมี 2 มุม ข้างท้ายทำให้รวบเข้ามาเขาเรียกเม้นตะเข็บ เสร็จแล้วเปิดปากใส่ของได้ โดยมากใส่กะปิ ใส่ข้าวก็มี สอบนอนนี้พวกพ่อค้ามักซื้อส่งไปสงขลา เอาไปใส่กะปิใส่เกลือ”
     “ยังมีสอบนั่งสานให้ก้นมี 4 มุม แบบที่ใช้ใส่ข้าวทำพิธีตั้งราดเวลาผู้หญิงออกลูก สมัยก่อนจะซื้อสาดไปค้าที่จะนะ พาสาดไปขายตามวัด ขายในงานที่มีโนรา มีหนังเล่น พาไปขายถึงควนขนุน พัทลุง ซื้อไปขายกัน สาดขายไม่ได้มาก สอบจะขายได้มากกว่า คนจำเป็นต้องใช้ สมัยนั้นยายอายุ 19-25 ปี จำได้ว่าสอบลูกละ 3 บาท สาดผืนละ 5 บาท ตอนนั้นถูก...”

          การประมงของชุมชนพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย ผู้คนในพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อยประกอบอาชีพประมงประมาณ 2,395 ครัวเรือนหรือร้อยละ 30.1 ของครัวเรือนทั้งหมดที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ในบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย ในจำนวนนี้ 1,742 หลังคาเรือนทำการประมงเพื่อขาย ซึ่งหมู่บ้านที่ทำการประมงเพื่อขายมีเกินกว่า 100 หลังคาเรือน ได้แก่ บ้านพนางตุง หมู่ 1 บ้านทะเลน้อย หมู่ 1 บ้านบน (ออก) หมู่ 4  บ้านบน  หมู่ 5 บ้านควนเคร็งและบ้านหัวป่าตก  โดยเฉพาะปลาน้ำจืดในทะเลน้อยมีมากจริงๆ ดังคำที่กล่าวว่า มีปลามาก จระเข้ถึงมาด้วย ปลาในทะเลน้อยที่ค้นพบประมาณ 29 ชนิด เช่น ปลาดุก ปลาช่อน ปลาดุกลำพัน ปลาหมอช้างเหยียบ ปลาตะเพียน ปลาไหล ปลากระทุงเหว ปลากระทุงเหวแม่หม้าย ปลากริมควาย ปลาจิ้มฟันจระเข้ยักษ์ ปลาสร้อยนกเขา ปลาเสือดำ ปลาเสือดำสุมาตรา เป็นต้น เครื่องมือที่ใช้จับปลาในทะเลน้อย เช่น สุ่ม แห อวน ไซ เฝือก โป๊ะ เบ็ด เรือ เป็นต้น ดังคำบอกเล่าของคุณตาผ่อง เดชนครินทร์ว่า
     “ตอนเล็กๆ เวลาจับปลาพ่อยายสุ่นจะเอาสุ่มลงไปเที่ยวครอบปลา ได้ขึ้นมาเยอะ เมื่อก่อนลงไปก็ได้กินเลย ยายเคยเอาเบ็ดลงไปหย่อนในสาย(สาหร่าย) เบ็ดตาเดียววันหนึ่งได้ปลาตั้ง 50 ตัว ปลาฉลากเต็มหมด ในทะเลเต็มหมด ปลาว่ายชนกันเลย กุ้งลุย(มาก) ตัวเล็กกุ้งฝอย กุ้งนาตัวใหญ่ แม่กุ้งมีมาก แม่กุ้งเขาพาลงไปล้อมเข้า เสร็จแล้วเอาออกมาผูกหนวดเป็นพวง พวงละ 5 บาท มันมีมากจริงๆ กินกันเป็นหม้อๆ เอามาต้มยำอร่อยเหลือเกิน...”
          ความอุดมสมบูรณ์ของปลาในทะเลน้อยและเป็นปลาที่มีชื่อเสียงคือ ปลาดุกร้า ทำกันมาตั้งแต่อดีต ปลาดุกร้าที่ทะเลน้อยจึงไม่เหมือนปลาร้าอีสาน ซึ่งทำกันคนละแบบมีกินมีขายอยู่ในชุมชนบ้านรอบๆ ทะเลน้อยและทะเลสาบตอนเหนือเป็นของดีราคาแพง วิธีทำปลาดุกร้า ด้วยการนำเอาปลาดุกที่ตายแล้วมาตัดหัว แช่น้ำไว้สักพักหนึ่งแล้วเอาขึ้นมาตากแดดให้พอพองๆ การตากแดดช่วยให้เนื้อปลาพองเร็ว ตั้งให้ปลาเย็นเสียก่อน จึงคลุกเกลือผงผสมกับน้ำตาลทรายในอัตราส่วนเท่าๆ กัน  ด้วยการโรยเกลือและน้ำตาลซาวให้ทั่วตัวปลาแล้วนำไปตากแดดต่ออีก วันรุ่งขึ้นตากอีกจึงกลายเป็นปลาร้า เพราะมันพองเต็มที่ เนื้อปลาจะล่มหอม เค็มกรุ่นๆ มีรสหวานจืด จะปิ้งหรือทอดน้ำมันก็ได้ กินกับหอมซอย พริกขี้หนู บีบน้ำมะนาวใส่ก็ได้ คลุกข้าวสวยร้อนๆ อร่อยที่สุด ที่อื่นทำไม่เป็นและไม่อร่อยเหมือนปลาดุกร้าของทะเลน้อย สถานที่อื่นไม่ค่อยมีปลาดุกถึงมีก็ไม่มาก ปลาดุกจึงเป็นปลาประจำพรุหรือพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย ทะเลน้อยมีปลาให้คนทะเลน้อยทำมาหากินเลี้ยงชีวิตอยู่บ้างแม้จะไม่มากเหมือนในอดีตที่ผ่านมา ปลาดุร้า ไข่ปลาทอด พอมีขาย เสื่อสาดแปรรูปเป็นจานรองแก้ว ที่ใส่จดหมาย เป็นต้น มีวางขายอยู่ทั่วไป ริมฝั่งน้ำจะมีกระจูดตากเตรียมสานเสื่อ ชีวิตที่บ้านทะเลน้อยกำลังดำเนินไป เติบโตและเปลี่ยนแปลง
          คนที่ประกอบอาชีพเผาถ่านในพื้นที่ชุมน้ำทะเลน้อย มีประมาณ 394 หลังคาเรือน จาก 17 หมู่บ้าน ซึ่งเผาถ่านเพื่อใช้ในครัวเรือน โดยเฉพาะที่บ้านควนเลตัง และในจำนวนนี้ 10 ครัวเรือนจาก 3 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่บ้านควนราบ หมู่บ้านใสขนุนและหมู่บ้านควนทะเลโมง เผาถ่านเพื่อขาย ส่วนคนที่ประกอบอาชีพในทะเลน้อยเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ได้แก่ การขับเรือนำเที่ยวชมทิวทัศน์ ดูนกในทะเลน้อย ตลอดจนกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น การขายของที่ระลึก การเปิดร้านอาหารที่บ้านพนางตุง หมู่ 1 และหมู่ 2  บ้านทะเลน้อย หมู่ 1 และหมู่ 2 อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง และบ้านล่องลม อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา
          สภาพทางสังคมของพื้นที่ชุมน้ำทะเลน้อย มีโรงเรียนจำนวน 33 แห่ง จำแนกโรงเรียนที่สอนถึงระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 4 แห่ง ตั้งอยู่บ้านบน หมู่ 5 บ้านตรอกค้อ บ้านควนชิง และบ้านหัวป่า จำนวนที่เหลืออีกจำนวน 29 แห่ง สอนถึงระดับประถมปีที่ 6 และมีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 1 แห่ง ตั้งอยู่บ้านควนชะลิก มีครูทั้งหมด 398 คน จำนวนนักเรียน 7,201 คน จำนวนห้องเรียน 346 ห้องเรียน ประชาชนเกือบทั้งหมดนับถือศาสนาพุทธ  มีพระสงฆ์ 211 รูป มีวัด 28 แห่ง มีสำนักสงฆ์ 3 แห่ง มีศาลเจ้า 3 แห่ง และโบสถ์ 13 แห่ง ในบริเวณชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่ชุมน้ำทะเลน้อย
          ลักษณะเส้นทางคมนาคมของหมู่บ้านส่วนใหญ่ในพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย จะเป็นถนนโรยกรวดและลูกรัง หลายหมู่บ้านเป็นถนนลาดยาง มีรถจักรยานรับจ้างเป็นพาหนะ บางหมู่บ้านมีรถสองแถวและรถประจำทางแล่นรับ-ส่ง ผู้โดยสาร ซึ่งได้รับความสะดวกพอสมควร บางหมู่บ้านต้องใช้การสัญจรทางน้ำ บ้านขอนหาด บ้านหัวทอม มีเส้นทางเดินรถไฟผ่านไปให้บริการ บ้านหัวป่าเขียวไม่มีพาหนะรับจ้างต้องใช้พาหนะส่วนตัว และในบางฤดูกาล (ฤดูฝน) เส้นทางเข้าหมู่บ้านซึ่งเป็นถนนโรยกรวดไม่สามารถใช้งานได้ประชาชนได้รับความยากลำบากมาก ซึ่งแต่ละชุมชนมีความสัมพันธ์อันดีในทุกหมู่บ้าน มีการสมรสกันเองของคนในหมู่บ้านเดียวกัน ไม่ปรากฏปัญหาการทะเลาวิวาทหรือการขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ประชาชนจะร่วมมือกันทำงานในกิจกรรมของหมู่บ้านหลายด้าน เช่น การบูรณะวัด การซ่อมแซมโรงเรียน การสร้างถนน ขุดคูบายน้ำและตัดหญ้าสองข้างถนนในหมู่บ้าน นอกจากนี้ยังมีการร่วมแรงหรือลงแขกในการสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัย และกิจกรรมกลุ่มในหมู่บ้านได้แก่ กลุ่มสหกรณ์  กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มเกษตรกร กลุ่มผู้ใช้น้ำ กลุ่มอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง (อพป.) เป็นต้น  

ความเชื่อเกี่ยวกับทวดชองชุมชนพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย
          พื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อยมีชุมชนบ้านพนางตุงและชุมชนบ้านทะเลน้อย  ทะเลน้อยมีความสัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของผู้คนในท้องถิ่น จนเป็นที่รู้จักร่วมกันและมีการกำหนดชื่อทะเลน้อยให้เป็นที่รู้จักร่วมกันของชุมชนในลักษณะที่เป็นแผนภูมิหรือแผนที่เพื่อสื่อสารถึงกัน  โดยการสร้างตำนานบ้านทะเลน้อยขึ้นมาว่า ในช่วงเวลาที่กรุงศรีอยุธยาแตกเสียแก่พม่าครั้งที่ 2 ปี พ.ศ.2310 พระเจ้าตากสินทรงกอบกู้เอกราชได้ตั้งกรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวง ทรงทราบว่าบริเวณนี้มีต้นตะเคียนอยู่มาก ทรงสั่งให้เจ้าเมืองพัทลุงต่อเรือรบส่งไปยังเมืองหลวง จึงได้เกณฑ์ราษฎรมาตัดไม้ต้นตะเคียนและนำไปต่อเรือที่บริเวณวัดป่าเลไลยก์และวัดเขียนบางแก้ว หลังจากการตัดไม้ตะเคียนมาต่อเรือรบแล้วเกิดฝนแล้งและไฟไหม้ป่าขึ้นในบริเวณทะเลน้อยหลายพันไร่ เมื่อฝนตกเกิดน้ำขังในที่แห้งนี้จึงกลายเป็นบึงกว้างใหญ่และเป็นที่อาศัยของฝูงช้างป่า จระเข้ และกระบือ เมื่อเวลาล่วงผ่านไปสถานที่แห่งนี้ค่อยๆ ลึกและกว้างออกไป เมื่อเป็นทะเลจึงมีคลื่น คลื่นจึงซัดเซาะตะลิ่งออกไปบ้างจนทุกวันนี้ และเล่ากันต่อว่าบ้านทะเลน้อยในอดีตตั้งอยู่ทางทิศใต้ของบ้านทะเลน้อยในปัจจุบัน คือบ้านกล้วยและบ้านกลาง เมื่อครั้งฝนตกหนักน้ำไหลลงไปรวมกันที่ดงตะเคียนและพัดพาเอาโคลนตมไปทางทิศใต้ทับถมบ้านกล้วยและบ้านกลาง ผู้คนได้อพยพบ้านเรือนขึ้นไปตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของทะเลน้อยในปัจจุบัน  จากตำนานบ้านทะเลน้อย ซึ่งเป็นการอธิบายความสำคัญของประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรมของชุมชนบ้านทะเลน้อยได้เป็นอย่างดี
        ชุมชนบ้านทะเลน้อยและชุมชนบ้านใกล้เคียงที่มีวิถีชีวิตอยู่กับทะเลสาบสงขลาหรือทะเลหลวงและทะเลน้อย จึงมีความเชื่อเกี่ยวกับทวดที่มีอยู่เกือบทุกชุมชนในพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย  โดยเฉพาะทวดตาขุนดำและทวดนางเรียม ซึ่งตำนานเล่าว่า สมัยก่อนทวดจระเข้ตาขุนดำครองรักอยู่กับทวดนางเรียมอย่างมีสุข ครั้นกาลต่อมาทวดตาขุนดำไปมีภรรยาน้อยอยู่ที่ฝั่งระโนด เมื่อทวดนางเรียมซึ่งเป็นภรรยาหลวงรู้ข่าว จึงใช้ลำตัวและหัวดำดินเพื่อให้เกิดเป็นทางน้ำ จากนั้นก็เดินทางไปหาสามีที่ฝั่งระโนด คลองนี้ชาวบ้านเรียกว่า คลองนางเรียม ความเชื่อของชาวบ้านทะเลน้อย อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง และชาวบ้านขาว อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา มีความเชื่อว่าในคลองนางเรียมมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งถือว่าเป็นเทวดาประจำถิ่น สถิตอยู่ในรูปลักษณะของจระเข้าน้ำจืดขนาดใหญ่
        คลองนางเรียมในอดีตเป็นทางสัญจรทางน้ำระหว่างบ้านทะเลน้อยกับบ้านขาว บ้านหัวป่า ฝั่งอำเภอระโนดและในอดีตคนระโนดจะนิยมเดินทางไปซื้อวัว ควาย และสัตว์เลี้ยงที่จังหวัดพัทลุงหรือพื้นที่ใกล้เคียง ตอนขากลับจะต้องต้อนฝูงสัตว์เหล่านั้นเดินข้ามคลองนางเรียม  ซึ่งตามความเชื่อแต่เก่าก่อนที่สืบทอดกันมาว่า หากผู้ใดเดินทางผ่าน หาปลา หรือนำฝูงสัตว์ข้ามคลองนางเรียม จะต้องบอกให้ทวดนางเรียมรับรู้ด้วยหมากพลูขอขมาแก่ทวด มิฉะนั้นจะทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยและสัตว์จะไม่เดินข้ามคลองโดยเด็ดขาด  ส่วนทวดตาขุนดำก็สถิตอยู่ที่คลองปากแตระ ทวดเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในความเชื่อของชาวไทยถิ่นใต้และคนในรัฐทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซียที่เรียกตนเองว่า ไทยสยาม  ดังมีความเชื่อร่วมกันว่าทวดเป็นดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย บรรพชนหรือผู้มีบุญวาสนาที่ล่วงลับดับสูญไปแล้วและรวมถึงเทวดากึ่งสัตว์ ประเภทพญาสัตว์ ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีลักษณะพิเศษที่สง่างามและน่าย่ำเกรงกว่าบรรดาสัตว์สามัญโดยทั่วไป  โดยมีความเชื่อว่าหากมีการเซ่นสรวงบูชาแก่ทวดแล้วจะก่อให้เกิดความรุ่งเรืองและจะได้รับความคุ้มครองตาม แต่ถ้าหากมีการลบหลู่ดูหมิ่นก็จะได้รับโทษ ผลเสีย รวมถึงความวิบัติต่อมาในไม่ช้า
          ความเชื่อในเรื่องทวดและการนับถือทวด เป็นความเชื่อพื้นฐานในท้องถิ่นใต้และรัฐตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย ซึ่งสามารถแบ่งทวดออกได้ 4 ประเภท คือ ทวดที่ปรากฏในรูปคน รูปสัตว์ รูปต้นไม้ และไม่มีรูป  ส่วนคติความเชื่อที่เกี่ยวกับทวดแบ่งออกเป็น 5 ด้าน คือ ด้านโชคลาภ ด้านโรคภัยไข้เจ็บ ด้านคุ่มครองปลอดภัย ด้านแคล้วคลาด และด้านคงกระพันมหาอุด  ความเชื่อเกี่ยวกับทวดที่ผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวบ้านในด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรชุมชน ดังนั้น ความเชื่อที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับทรัพยากรของชุมชนในพื้นที่ทะเลสาบและชุมน้ำทะเลน้อย  ทวดจึงเป็นความเชื่อที่มีความสำคัญและมีความหมายที่สุด  ทวดจึงเป็นวิญญาณของคนหรือสัตว์ที่ยังไม่ไปเกิดแต่ยังคงเวียนว่ายอยู่ในโลกมนุษย์ มีที่สถิตอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง  โดยการปรากฏของทวดนี้มีลักษณะของความเชื่อที่ใกล้เคียงกับโลกแห่งความเป็นจริงมาก กล่าวคือ ถ้าหากเป็นคนก็จะมีเรื่องเล่าคล้ายๆ กับคนนั้นเคยมีชีวิตอยู่จริง เพียงแต่ถ้าสืบสาวราวเรื่องไปจริงๆ จะเริ่มคลุมว่าเป็นใคร มีชีวิตอยู่ในสมัยไหน ถ้าเป็นสัตว์จะเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ที่มีอยู่จริงในท้องถิ่นนั้น เช่น จระเข้ งูใหญ่ และในทุกชุมชนจะมีคนยืนยันว่าเคยเห็นทวดปรากฏกายจริงๆ ดังนั้น ทรัพยากรชุมชนในพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อยหรือทะเลสาบสงขลา ซึ่งมีทวดตาขุนดำและทวดนางเรียมคอยดูแลรักษา เพื่อไม่ให้ผู้คนจับสัตว์ในทะเลน้อยและทะเลหลวง มาบริโภคอย่างละโมบโลภมาก นับเป็นการประพฤติชั่วอย่างเห็นแก่ตัว จึงทำให้อำนาจเหนือธรรมชาติผู้เป็นเจ้าของทรัพยากรชุมชนพิโรธและทำร้ายชีวิตของมนุษย์และบ้านเมืองให้ล่มจมไปด้วยการดลบันดาลให้เกิดภัยพิบัติ อันได้แก่ พายุฝน น้ำท่วม โคลนถล่ม ซึ่งอำนาจเหนือธรรมชาติของท้องถิ่นดังกล่าวเป็นเจ้าของสมบัติท้องถิ่น ได้แก่ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ในแต่ละภูมิประเทศนั้น การรับรู้และการถ่ายทอดระหว่างคนในท้องถิ่นต่างกันจากคนรุ่นเก่ามาสู่คนรุ่นใหม่  โดยผ่านการเล่าขานตำนานและร่วมกันประกอบพิธีกรรมบวงสรวงเซ่นไหว้  เพื่อความเป็นสิริมงคลของผู้คนในชุมชน อาทิเช่น พิธีกรรมบวงสรวงเซ่นไหว้ทวดตาขุนดำและทวดนางเรียมในทะเลน้อยในเดือนเมษายนก่อนวันสงกรานต์ของทุกปี เป็นต้น
 
การเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย
         การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย (สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม, 2543 : 65-68) ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนตามธรรมชาติและจากการคุกคามและการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ด้วยอีกประการหนึ่ง
          1. ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรดิน  ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรดิน ซึ่งเกิดมาจากการใช้ประโยชน์ที่ดินไม่เหมาะสมกับศักยภาพของดินในบริเวณนี้ การขาดแผนแม่บทที่เหมาะสมและสามารถนำไปปฏิบัติได้เกี่ยวกับการใช้ที่ดิน และขาดการประสานงานที่ดีเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรดินของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน
          2. การทำลายทรัพยากรป่าไม้และสัตว์น้ำ  การทำลายทรัพยากรป่าไม้และสัตว์เป็นปัญหาที่พบได้ทั่วๆ ไปในประเทศไทย แต่สำหรับในกรณีนี้ได้ให้ความสำคัญแก่ป่าซึ่งมีลักษณะเฉพาะ และมีโครงสร้างของระบบนิเวศที่เปราะบางและอ่อนไหว ดังเช่น ป่าควนหรือป่าพรุในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย ทั้งนี้เนื่องมาจากระบบนิเวศของป่าในบริเวณนี้มีสภาพที่เปราะบาง คือ เป็นป่าที่ประกอบด้วยต้นไม้เพียงไม่กี่ชนิดที่มีลักษณะเด่น (dominant species) ต้นไม้เหล่านี้เมื่อถูกทำลายลงโอกาสที่จะพื้นคืนมาอยู่ในสภาพเดิมจะน้อยมากหรืออาจจะต้องใช้เวลานาน การทำลายดังกล่าวได้แก่ การบุกรุกป่าเสม็ดเพื่อเปลี่ยนสภาพเป็นนาข้าว บ่อเลี้ยงปลา ปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นๆ การตัดต้นไม้โดยเฉพาะต้นเสม็ดเพื่อเผาเป็นถ่าน การบุกรุกป่าเพื่อสร้างบ้านเรือนเป็นที่อยู่อาศัย การบุกรุกเพื่อทำเป็นคอกปศุสัตว์  การบุกรุกป่าบริเวณแหล่งหาอาหารหรือแหล่งวางไขของนกน้ำ
        3. การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและธรณีสัณฐาน  การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและธรณีสัณฐานของพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อยโดยรวมและโดยเฉพาะบริเวณทะเลน้อย ได้แก่ การตื้นเขินหรือแคบลงของแม่น้ำลำคลองในพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย การงอกของดินในทะเลน้อยเนื่องจากกิจกรรมของชาวประมง การตื้นเขินของทะเลน้อย ซึ่งเกิดจากการทับถมของตะกอนจากการชะล้างหน้าดินและการเน่าเปื่อยของวัชพืช การชะพังของดิน เนื่องจากผลการกระทำทางธรรมชาติและกิจกรรมของมนุษย์ การสร้างถนนปิดกั้นการไหลของน้ำ ซึ่งมีผลกระทบต่อระบบนิเวศท้ายน้ำและมีผลทางด้านอุทกวิทยา และปัญหาการขาดกฎเกณฑ์หรือระเบียบปฏิบัติ  ซึ่งออกโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม เพื่อบังคับให้ทุกโครงการพัฒนาที่จะเกิดขึ้นและมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและธรณีสัณฐานของเขตห้ามล่าสัตว์ทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง ต้องทำการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) ตามแบบที่ได้กำหนดขึ้นโดยสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม
       4. ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรน้ำ ความเสื่อมโทรมของคุณภาพน้ำในทะเลน้อยและลำคลองอันเนื่องมาจากของเสียและมลพิษจากชุมชน การเสื่อมลงของคุณภาพน้ำเนื่องการเพิ่มตะกอนและอินทรีย์สารที่เกิดจากการเน่าเปื่อยของพืชพรรณไม้น้ำที่เพิ่มขึ้น และการถ่ายเทของน้ำทั้งเข้าน้ำออกไม่สะดวก เนื่องมาจากความตื้นเขินของทะเลน้อยและการปิดกั้นของทางน้ำ      
        5. ไฟป่าบริเวณพรุควนเคร็ง ป่าพรุควนเคร็งเป็นสงวนแห่งชาติมีอาณาเขตติดต่อกับ 3 อำเภอ ของจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้แก่ อำเภอชะอวด อำเภอเชียรใหญ่ และอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ป่าพรุควนเคร็งมีเนื้อที่ทั้งสิ้นประมาณ 86.4 ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 54,000 ไร่ ส่วนหนึ่งของพื้นที่นี้อยู่ในโครงการพัฒนาลุ่มน้ำปากพนังตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
         ความขัดแย้งในการใช้ประโยชนที่ดินเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งของการเกิดไฟป่าในบริเวณป่าควนเคร็ง ในปี พ.ศ.2541 ความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นจากชาวบ้านส่วนหนึ่งที่เขามาอาศัยอยู่ในพื้นที่ก่อนที่จะประกาศเป็นป่าสงวนแห่งชาติ จึงได้รับเอกสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติที่ดิน ต่อมาภายหลังเมื่อได้มีการประกาศกฎหมายปฏิรูปที่ดินขึ้นทำให้ผู้ที่เข้ามาภายหลังมีสิทธิ์ได้รับเอกสารสิทธิ์ สปก.4-01 ซึ่งทั้ง 2 กลุ่ม มีสิทธิ์ในที่ดินที่แตกต่างกัน ความขัดแย้งในการใช้ที่ดินได้เพิ่มความรุนแรงขึ้น เมื่อมีนายทุนชาวไทยและชาวมาเลเซีย รวมทั้งข้าราชการไทยได้บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติและป่าพรุควนเคร็งเพื่อใช้ในการปลูกป่าลุ่มน้ำและจับสัตว์ป่า เช่น เต่า เป็นต้น โดยเริ่มเผาป่าตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2541 เรื่อยมาจนถึงวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ.2541 ทำให้เนื้อที่ป่าพรุถูกเผาถึงประมาณ 25.6 ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 16,000 ไร่
         สาเหตุของการเกิดไฟป่าในบริเวณป่าพรุควนเคร็งนั้นเกิดมาจากการเผาป่าเพื่อทำไร่ปลูกต้นปาล์มน้ำมัน โดยจงใจให้ป่าไม้ถูกทำลายและกลายเป็นสภาพป่าเสื่อมโทรมเร็วขึ้น และการเผาป่าเพื่อล่าสัตว์ป่า เช่น ในกรณีของการล่าเต่าบกไปขายหรือนำไปกินเป็นอาหาร วิธีการทั้ง 2 นี้ในขั้นอาจไม่ลุกลามใหญ่โตนักคงเป็นสาเหตุเล็กๆ แต่ต่อมาได้ลุกขยายวงกว้างออกไป เนื่องจากความแห้งแล้งของสภาพภูมิอากาศและกองซากพืชที่กองทับถมอยู่ใต้ดินเป็นจำนวนมากจึงทำให้เป็นเชื้อไฟขยายออกไปจนกลายเป็นไฟป่าในที่สุด ทำความเสียหายอย่างรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อม ก่อให้มีฝุ่นละอองฟุ้งกระจายไปในอากาศก่อให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์อย่างรุนแรง
 
สรุป
        พื้นที่ชุ่มน้ำมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของชุมชนในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ทั้งยังเป็นแหล่งรวมความหลากหลายทางชีววิทยาและการขยายพันธุ์พืชและสัตว์นานาชนิด ทะเลน้อยเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่ตั้งอยู่ตอนเหนือของทะเลหลวงหรือทะเลสาบสงขลา ซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด คือ พัทลุง สงขลา และนครศรีธรรมราช พื้นที่มีลักษณะเป็นป่าพรุน้ำจืดมีน้ำขังตลอดปี สภาพพื้นที่แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นแผ่นดินและส่วนที่เป็นพื้นน้ำ ทะเลน้อยเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่มีลักษณะค่อนข้างกลมคล้ายกระทะ ซึ่งมีต้นน้ำมาจากเขาปู่เขาย่าอันเป็นเทือกเขาบรรทัด น้ำไหลลงสู่ทะเลน้อยผ่านลำคลองตะลิ่งชันมาออกที่คลองปากประและคลองป่าพะยอมมาออกที่ปากคลองบ้านบนและพรุควนเคร็ง น้ำจากทะเลน้อยไหลลงสู่ทะเลหลวงโดยผ่านคลองนางเรียมและคลองบ้านกลาง
        พื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อยมีชุมชนอาศัยอยู่รอบประมาณ 50 หมู่บ้าน ส่วนชุมชนที่อยู่ติดกับทะเลน้อยมี 5 หมู่บ้าน 2 ตำบล คือ ตำบลพนางตุงและตำบลทะเลน้อย เดิมบ้านทะเลน้อยตั้งอยู่ที่บ้านกล้วยและบ้านกลางซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของทะเลน้อย ต่อมาได้ย้ายมาอยู่ทางทิศตะวันตกของทะเลน้อยในปัจจุบัน  โดยมีวัดทะเลน้อยเป็นศูนย์กลางชุมชน มีนกเป็นจุดเด่นและเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ที่มีกุ้ง หอย ปู ปลา และสัตว์น้ำอื่นๆ อีกมากมาย ในอดีตพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งนี้มีช้างเป็นจำนวนมากและมีจระเข้ชุกชุม รวมถึงปลาน้ำจืดเป็นจำนวนมาก เมื่อน้ำเปลี่ยน พืชพันธุ์เปลี่ยน ชุมชนเปลี่ยน สังคมเปลี่ยนและทะเลน้อยจึงเปลี่ยนตามไปด้วย ซึ่งปัจจุบันผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อยประกอบอาชีพที่แตกต่างกันออกไป อันได้แก่ ประกอบอาชีพทำนา ปลูกและเก็บกระจูด สานกระจูด ประมง ปลูกผัก เผาถ่าน และการท่องเที่ยว ความเชื่อของผู้คนในชุมนชนทะเลน้อยและผู้ประกอบอาชีพประมงเรื่องทวดตาขุนดำและทวดนางเรียมว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเทวดาอารักประจำถิ่นที่คอยพิทักษ์รักษาผู้คนและสัตว์น้ำในทะเลน้อยและทะเลหลวง ตลอดจนความเชื่อทางพระพุทธศาสนาและหลวงปู่ทวด  เมื่อกาลเวลาผ่านทะเลน้อยก็ได้เปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติและการคุกคามจากการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ เช่น ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรดิน การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและธรณีสัณฐาน ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรน้ำและไฟป่าพรุควนเคร็ง เป็นต้น

บรรณานุกรม

บัญชา เฉลิมกิจ, (2543), กุศุมรสของแผ่นดิน ทะเลสาบสงขลามรดกทางธรรมชาติและวัฒนธรรม,
          กรุงเทพมหานคร : บริษัทเยลโล่การพิมพ์ จำกัด.
พ่วง บุษรารัตน์, (2542), “ทะเลน้อย”, ในสารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคใต้ เล่ม 6, กรุงเทพมหานคร :
          อัมรินทร์การพิมพ์.
เลิศชาย ศิริชัย และฤทธิ์ ดวงสุวรรณ์, (2552), ประมงพื้นบ้านลุ่มทะเลสาบสงขลา : วิถีและการเปลี่ยนแปลง,      กรุงเทพมหานคร : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.).
วันเพ็ญ สุรฤกษ์, (2545), “สังคมน้ำกับการวิเคราะห์เชิงพื้นที่”, ในภูมิศาสตร์กับวิถีไทย, กรุงเทพมหานคร :  
          ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
ศรีศักร วัลลิโภดม, (2551), คู่มือฉุกคิด ความหมายของภูมิวัฒนธรรม การศึกษาจากภายในและสำนึก
          ท้องถิ่น
, กรุงเทพมหานคร
: มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยพันธุ์.
สุรพล ดวงแข, (2552), “พื้นที่ชุ่มน้ำสมบูรณ์ดี ชีวีมีสุข”, ในรายงานการประชุมเชิงปฏิบัติการเนื่องในวัน
          พื้นที่ชุ่มน้ำโลกประจำปี 2551
, กรุงเทพมหานคร
: กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม, (2542), ทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและ
          ระดับชาติของประเทศไทย
, กรุงเทพมหานคร
: สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม   
          กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม.
สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม, (2543), ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย,   กรุงเทพมหานคร : กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม.
เอมอร บุญช่วย, (2554), ตำนานและความเชื่อที่เกี่ยวกับทวดในคาบสมุทรสทิงพระ จังหวัดสงขลา,
          วิทยานิพนธ์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยทักษิณ.
 


          [1]พื้นที่ชุ่มน้ำ หมายถึง พื้นที่ลุ่ม พื้นที่ราบลุ่ม พื้นที่ลุ่มชื้นแฉะ พื้นที่ฉ่ำน้ำ มีน้ำท่วม มีน้ำขัง พื้นที่พรุ พื้นที่แหล่งน้ำ ทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น  ทั้งที่มีน้ำขังหรือท่วมอยู่ถาวรและชั่วครั้งชั่วคราว ทั้งที่เป็นแหล่งน้ำนิ่งและน้ำไหล ทั้งที่เป็นน้ำจืด น้ำกลอยและน้ำเค็ม รวมไปถึงพื้นที่ชายฝั่งทะเลและพื้นที่ของทะเลในบริเวณซึ่งเมื่อน้ำลงต่ำสุดมีความลึกของระดับน้ำไม่เกิน 6 เมตร อาจรวมถึงพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำแลชายฝั่งทะเล ซึ่งมีเขตติดต่อกับพื้นที่ชุ่มน้ำและเกาะหรือเขตน้ำทะเลที่มีความลึกมากกว่า 6 เมตร เมื่อน้ำลงต่ำสุดซึ่งอยู่ภายในขอบเขตของพื้นที่ชุ่มน้ำนั้น
         [2]พื้นที่ชุ่มน้ำทะเลน้อย หมายถึง พื้นที่ชุ่มน้ำในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย  ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 450.6 ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 281,625 ไร่ และทะเลน้อยมีอาณาเขตประมาณ 30 ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 18,750 ไร่ เป็นแหล่งน้ำจืดที่สำคัญของชุมชนที่อาศัยอยู่โดยรอบพื้นที่ทะเลน้อย
            [3]หมอสดำ หมายถึง ตำแหน่งหมอช้างขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งที่รองจากหมอเฒ่าหัวหน้าหมอช้าง มีหน้าที่คอยจับช้างป่ามาฝึกหัดใช้งาน ส่งส่วยให้เจ้าเมืองสทิงพระและกรุงศรีอยุธยา
            [4]พันธุ์ข้าวจังหวัด คือ พันธุ์ข้าวที่มาจากทางจังหวัดนครปฐมที่นำมาปลูกในนาทะเลน้อย
[5]พันธุ์ข้าวปิ่นแก้ว คือ พันธุ์ข้าวที่ทางราชการนำมาแจกให้ชาวบ้านทะเลน้อยนำไปปลูกในนา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น